วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ไอเดียเลิศโถปัสสาวะรีไซเคิล

“โถปัสสาวะชายแบบประหยัดนํ้าพร้อมระบบผลิตปุ๋ย” ถือเป็นนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์รายแรกที่นำไอเดียการรีไซเคิลนํ้าปัสสาวะ แยกยูเรียมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และนํ้าที่ผ่านการบำบัดสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ด้วยหลักการ 3R เพื่อชะล้างโถปัสสาวะ สิ่งประดิษฐ์ชิ้นดังกล่าวเป็นผลงานของทีมนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่สามารถคว้ารางวัลชมเชย และรางวัลความคิดสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ปฏิวัติการจัดการนํ้าในประเทศไทยจากเวทีการประกวดนวัตกรรมการจัดการนํ้าด้วย 3R ปีที่ 3 ซึ่งปกติการชักโครกทั่วไป ใช้นํ้า 6 ลิตรต่อการชำระล้าง 1 ครั้ง จากสถิติพบว่าเฉพาะคนเมือง ใช้นํ้าเฉลี่ย 320-340 ลิตรต่อวันในการชักโครก ขณะที่คนกรุงเทพฯมีถึงกว่า 7 ล้านคน ลองคิดดูว่าจะต้องสิ้นเปลืองนํ้ามากมายขนาดไหน นอกจากนี้ปัญหาเรื่องของความสะอาดและกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่คนส่วนใหญ่มักรู้สึกรังเกียจที่จะเข้าใช้ห้องนํ้าสาธารณะโดยเฉพาะรถสุขาเคลื่อนที่ จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่ต้องการทำให้โถปัสสาวะชายมีประสิทธิภาพมากที่สุด น.ส.บุษราคัม กุลวงศ์ ตัวแทนทีม นศ.ชั้นปีที่ 4 ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) อธิบายว่า แนวคิดแยกนํ้าปัสสาวะมาผลิตปุ๋ยกับโถปัสสาวะชายประหยัดนํ้า ได้นำมาประยุกต์ใช้กับสิ่งประดิษฐ์ เพราะในนํ้าปัสสาวะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชค่อนข้างสูง โดยเฉพาะไนโตรเจนที่เรารู้จักกันว่ายูเรีย หากรวบรวมนํ้าปัสสาวะได้แล้วนำมาผลิตปุ๋ยก็จะเป็นการช่วยลดต้นทุนให้กับภาคเกษตรของไทย จึงได้พัฒนาต่อยอดเป็น “โถปัสสาวะชายแบบประหยัดนํ้าพร้อมระบบผลิตปุ๋ย” ขึ้น พร้อมระบบผลิตปุ๋ย เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เน้นการจัด การนํ้า และนํ้าปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของระบบการใช้นํ้าอย่างประหยัด เน้นการทำด้วยระบบอัตโนมัติ โดยใช้หลักการของแสงคือ เมื่อคนเข้าไปปัสสาวะ (ในห้องนํ้าชาย) แสงจะสะท้อนกลับไปที่เซ็นเซอร์ วาล์วอัตโนมัติในโถปัสสาวะเปิดสู่ถังเก็บพักนํ้าปัสสาวะ เมื่อผู้ใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกจะไม่มีแสงสะท้อนกลับไปยังเซ็นเซอร์ วาล์วอัตโนมัติก็จะเปิดสู่ถังรับนํ้าชำระโถปัสสาวะและเปิดวาล์วปล่อยนํ้าจากถังชำระล้างออกมา และระบบจะเก็บนํ้าชำระโถปัสสาวะเข้าสู่ถังกรองถ่านกัมมันต์ เพื่อกำจัดเชื้อโรค และแอมโมเนียที่เหลือในนํ้าชะล้าง โดยถังกรองดังกล่าวสามารถกำจัดแอมโมเนียได้ถึง 89% ทำให้นํ้าชะล้างโถปัสสาวะที่ผ่านการกรองนี้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ใหม่ ส่วนถังเก็บนํ้าปัสสาวะจะมีเครื่องมือวัดค่าความเข้มข้นของแอมโมเนียและพีเอชของนํ้าปัสสาวะ โดยปกติเอนไซม์ยูเรียเอสในนํ้าปัสสาวะ จะแปรสภาพยูเรียในนํ้าปัสสาวะให้เป็นแอมโมเนียไอออนทันทีที่นํ้าปัสสาวะมีค่าพีเอชเท่ากับ 9 ระบบก็จะส่งสัญญาณแจ้งว่า นํ้าปัสสาวะที่พักไว้มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการนำไปผลิตปุ๋ย เพียงเติมสารประกอบแมกนีเซียม และฟอสเฟตลงในนํ้าปัสสาวะที่เก็บไว้ ก็จะเกิดเป็นผลึกสตรูไวท์ ซึ่งผลึกดังกล่าวสามารถนำไปใช้แทนปุ๋ยยูเรียได้ สิ่งประดิษฐ์นี้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากหากนำไปใช้กับห้องนํ้าสาธารณะที่มีผู้คนเข้าไปใช้ร่วมกันเป็นจำนวนมาก ๆ เช่น รถสุขาเคลื่อนที่ ที่มีข้อจำกัดของความจุของถังนํ้า การหมุนเวียนนํ้ากลับมาใช้ สามารถลดปริมาณชะล้าง ระบบที่พัฒนาขึ้นจะทำงานโดยอัตโนมัติทั้งการแยกส่วนของนํ้าปัสสาวะไปเก็บไว้เพื่อผลิตปุ๋ย และการปล่อยนํ้าเพื่อชะล้างโถปัสสาวะ พร้อมกับนำนํ้านั้นกลับมาบำบัดหมุนเวียนใช้ใหม่ ทำให้มีนํ้าสำหรับการชะล้างโถปัสสาวะอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองนํ้าอีกต่อไป และนวัตกรรมนี้ผู้ใช้ไม่ต้องสัมผัสกับระบบชำระล้างของโถปัสสาวะ จึงทำให้ผู้สูงอายุหรือผู้พิการได้รับความสะดวก ส่วนในภาคการเกษตรหากสามารถนำปุ๋ยสังเคราะห์ที่ผลิตจากนํ้าปัสสาวะไปใช้ ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ นวัตกรรมโถปัสสาวะชายแบบประหยัดนํ้าพร้อมระบบผลิตปุ๋ย เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เน้นลดการใช้นํ้าด้วยระบบการหมุนเวียนแบบชำระล้าง ซึ่งถือเป็นการฝึกทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ให้กับเยาวชนในการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นเชื่อว่านวัตกรรมดี ๆ เหล่านี้จะได้รับการต่อยอดอย่างแน่นอน. เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2556


อ้างอิงจาก สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
http://siweb.dss.go.th/news/show_abstract.asp?article_ID=4614

Environmental object : ลดการใช้น้ำ
Environmental data : การนำน้ำมาบำบัดและการใช้ยูเรียจากน้ำปัสสาวะมาทำปุ๋ย
Metadata : การแปรสภาพยูเรียในนํ้าปัสสาวะให้เป็นแอมโมเนียไอออนทันทีที่นํ้าปัสสาวะมีค่าพีเอชเท่ากับ 9 ระบบก็จะส่งสัญญาณแจ้งว่า นํ้าปัสสาวะที่พักไว้มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการนำไปผลิตปุ๋ย เพียงเติมสารประกอบแมกนีเซียม และฟอสเฟตลงในนํ้าปัสสาวะที่เก็บไว้ ก็จะเกิดเป็นผลึกสตรูไวท์ ซึ่งผลึกดังกล่าวสามารถนำไปใช้แทนปุ๋ยยูเรียได้

นางสาวภัทราพร แม้นจันทร์ (ฝ้าย)






วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

นศ.อเมริกันทำหุ่นยนต์ “แมงกะพรุนยักษ์” หวังใช้สำรวจทะเล

    นักศึกษาอเมริกันจากเวอร์จิเนียเทคพัฒนาหุนยนต์แมงกะพรุนยักษ์ ทั้งขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงผู้ใหญ่ ตั้งเป้าใช้สำรวจมหาสมุทรในอนาคต
 
   
หุ่นยนต์แมงกะพรุนยักษ์ขนาดและน้ำหนักเท่าคนตัวใหญ่ โดยมีขนาดยาว 180 เซนติเมตร และหนัก 77 กิโลมตร เป็นผลงานของนักศึกษาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค (Virginia Tech School of Engineering) และมีชื่อเรียกว่า ไซโร” (Cyro) ซึ่งทีมวิจัยคาดหวังว่าหุ่นยนต์อัตโนมัติที่ดูคล้ายมีชีวิตจริงนี้ จะถูกใช้เพื่อสำรวจมหาสมุทรต่อไปในอนาคต
 
   
ข้อมูลจากเวอร์จิเนียเทคระบุว่า หุ่นยนต์ดังกล่าวเป็นการต่อยอดหุ่นยนต์แมงกะพรุนขนาดเท่าฝ่ามือที่มี ชาแชงก์ พริยา (Shashank Priya) ศาสตราจารย์ทางด้านวิศวกรรมเครื่องกลจากเวอร์จิเนียเป็นหัวหอกในการพัฒนา โดยหุ่นยนต์แมงกะพรุนรุ่นก่อนหน้ามีชื่อว่า โรโบเจลลี” (Robojelly) และมีขนาดประมาณแมงกะพรุนที่พบได้ตามชายหาด
 
   
อเลกซ์ วิลลานูวา (Alex Villanueva) นักศึกษาปริญญาเอกชาวแคนาดาด้านวิศวกรรมเครื่องกล ซึ่งอยู่ใต้สังกัดของพริยากล่าวว่า ขนาดหุ่นยนต์ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้บรรทุกของได้หนักขึ้น ทำงานได้ทนขึ้นและปฏิบัติการในพื้นที่ได้กว้างขึ้น อีกทั้งยังลดต้นทุน
 
   
ทั้งไซโรและโรโบเจลลีเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมูลค่า 150 ล้านบาทที่ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์การรบใต้ทะเลกองทัพเรือสหรัฐฯ (U.S. Naval Undersea Warfare Center) และสำนักงานการวิจัยกองทัพเรือสหรัฐฯ (Office of Naval Research) ซึ่งมีเป้าหมายที่จะนำเครื่องยนต์อัตโนมัติที่ให้พลังงานตัวเองได้ไปใช้ในทะเล เพื่องานเฝ้าระวังและตรวจตราสิ่งแวดล้อม อีกด้านก็เพื่อศึกษาสัตว์น้ำในทะเล ทำแผนที่พื้นผิวมหาสมุทร และตรวจตรากระแสน้ำในมหาสมุทร
 
   
ข้อมูลจากเวอร์จิเนียร์เทคยังบอกอีกว่า แมงกะพรุนกลายเป็นต้นแบบในการเลียนแบบ เนื่องจากความสามารถในการใช้พลังงานน้อย และมีอัตราเมตาบอลิซึม หรือการเผาพลาญพลังงานต่ำกว่าสัตว์ทะเลสปีชีส์อื่นๆ อีกทั้งยังมีแมงกะพรุนให้เห็นหลายขนาด หลายรูปร่างและหลากหลายสี ซึ่งช่วยให้ออกแบบได้หลากหลาย
 
   
แมงกะพรุนยังมีถิ่นอาศัยเป็นบริเวณกว้างในมหาสมุทรของโลกและยังทนต่อช่วงอุณหภูมิที่หลากหลาย ทั้งในน้ำจืด และน้ำเค็ม ส่วนมากเราพบแมงกะพรุนหลายๆ สปีชีส์ตามบริเวณชายฝั่ง แต่บางสปีชีส์ก็พบใต้ทะเลึก 7,000 เมตร
 
   
ทีมของพริยาได้สร้างโมเดลหุ่นแมงกะพรุนที่ผสานเข้ากับกลศาสตร์ของไหล และพัฒนาระบบควบคุม โดย ไซโรนั้นเป็นชื่อที่ย่อมาจาก ไซยาเนีย” (cyanea) จากชื่อแมงกะพรุนสปีชีส์ไซยาเนีย คาพิลลาตา (cyanea capillata) และโรบอท (robot) แต่หุ่นยนต์ตัวที่สองนี้ก็ยังเป็นเพียงต้นแบบ และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะนำไปใช้จริงในทะเลได้ และต้นแบบตัวใหม่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา
 
   
วิลลานูวากล่าวว่า พวกเขาตั้งใจที่จะปรับปรุงหุ่นยนต์นี้ให้ดีขึ้นและลดการใช้พลังงานลง รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพในการว่ายน้ำให้ดีขึ้น รวมทั้งเลียนแบบสัณฐานของแมงกะพรุนในธรรมชาติให้ดีกว่านี้ด้วย
 
   
สำหรับไซโรนั้นใช้พลังงานแบตเตอรีนิกเกิลไฮไดรด์ ส่วนหุ่นยนต์แมงกะพรุนรุ่นก่อนหน้าใช้วิธีผูกสายโยงควบคุมการเคลื่อนที่ แต่อนาคตทีมวิจัยเล็งที่จะใช้พลังงานไฮโดรเจน แต่ยังต้องศึกษาวิจัยอีกมาก ซึ่งแหล่งพลังงานของหุ่นยนต์แมงกะพรุนนี้มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากในการใช้งานจริงพวกเขาต้องปล่อยให้หุ่นยนต์ทำงานไปเองอย่างอัตโนมัติ โดยไม่อาจจับขึ้นมาหรือซ่อมแซม รวมทั้งเปลี่ยนแหล่งพลังงานได้
 
   “
ไซโรได้แสดงให้เห็นว่ามันมีความสามารถที่จะว่ายน้ำได้อัตโนมัติ ขณะที่ยังคงลักษณะทางกายภาพ และจลนศาสตร์ได้เหมือนแมงกะพรุนในธรรมชาติ นอกจากนี้หุ่นยนต์ยังสามารถเลือกข้อมูล เก็บข้อมูล วิเคราะห์และส่งข้อมูลผ่านเซนเซอร์ได้ โดยเป็นการดำเนินการในสภาพน้ำตื้น แต่ก็เป็นการสาธิตที่สำคัญในการใช้สิ่งมีชีวิตชนิดนี้เป็นต้นแบบพริยากล่าว
 
   
ไซโรว่ายน้ำได้โดยมีโครงสร้างแข็งในตัวที่ต่อเข้ากับเครื่องยนต์จ่ายกระแสไฟฟ้า ซึ่งควบคุมแขนกลที่เชื่อมต่อกับมีโซเกลีย (mesoglea) หรือก้อนวุ้นของแมงกะพรุน ที่ทีมวิจัยสร้างจำลองขึ้นให้เหมือนของจริงแล้ว ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวจากการขับเคลื่อนด้วยของเหลว
 
   
โดยธรรมชาติแมงกะพรุนไม่มีระบบประสาทส่วนกลาง แต่ใช้ระบบประสาทแบบแพร่กระจาย (diffused nerve) ควบคุมการเคลื่อนไหวและการทำงานอันซับซ้อน ซึ่งมีการศึกษาคู่ขนานเกี่ยวระบบควบคุมการหายใจแบบชีวภาพ ที่กำลังดำเนินการและคาดว่าจะถูกนำมาใช้แบบระบบคอนโทรลเลอร์ในปัจจุบัน
 
   
ส่วนผิวของไซโรก็เป็นซิลิโคนหนาเลียนแบบผิวจริงของแมงกะพรุน และถูกนำไปวางเหนืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อหุ่นยนต์เคลื่อนที่ ผิวแมงกะพรุนจะลอยขึ้นและเคลื่อนที่ไปพร้อมกับเครื่องกล ทำให้หุ่นยนต์ดูคล้ายมีชีวิตจริงๆ

Virginia Tech: Autonomous Robotic Jellyfish from virginiatech on Vimeo.

ที่มา  http://forum.khonkaenlink.info/index.php?PHPSESSID=olrm5f2dcifue36jfej3ih8ue1&topic=17053045.0  สืบค้นเมื่อวันที่ 28/6/2556


  • Environmental Object  คือ  หุ่นยนต์สำรวจสิ่งแวดล้อมในทะเล
  • Environmental Data  คือ เฝ้าระวังและตรวจตราสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาสัตว์น้ำในทะเล ทำแผนที่พื้นผิวมหาสมุทร และตรวจตรากระแสน้ำในมหาสมุทร
  • Metadata คือ สามารถเลือกข้อมูล เก็บข้อมูล วิเคราะห์และส่งข้อมูลผ่านเซนเซอร์ได้

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าระยะไกล"...เพื่อชีวิตอิสระสำหรับผู้พิการ

 "ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าระยะไกล"...เพื่อชีวิตอิสระสำหรับผู้พิการ


          ผู้ทุพพลภาพยิ้มออกด้วยผลงานชิ้นเด็ดจาก มจธ. ส่งอุปกรณ์ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าระยะไกล สั่งงานจากสัญญาณกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ตอบโจทย์การใช้งานแม้ในผู้พิการที่ไม่สามารถขยับตัวได้ตั้งแต่ไหล่ขึ้นไป พร้อมรายงานภาพฉุกเฉินเมื่อต้องการความช่วยเหลือ
          ผู้พิการ ทุพพลภาพ สถานะที่ไม่มีใครอยากเป็น แต่ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการดำเนินชีวิตของผู้พิการทางร่างกายในหลายรูปแบบ และนักศึกษากลุ่มหนึ่งจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)  ที่มองเห็นถึงความต้องการของผู้พิการจึงร่วมกันพัฒนาผลงาน ชุดควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าระยะไกล โดยใช้สวิตช์ตัวเดียวสำหรับการดำรงชีวิตอิสระเพื่อผู้ทุพพลภาพ” 

          3 นักศึกษา แบงค์สพณ พิทักษ์   สนุ้กเกอร์สุพัทธ์ พยัพพฤกษ์ และ แชมป์”  ปฤษฎา เชื้อใจ  นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาควิชาวิศวกรรมระบบควบคุมและเครื่องมือวัด คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. เจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งระดับประเทศ ในกลุ่มสิ่งประดิษฐ์ทางด้านการแพทย์สำหรับผู้ทุพพลภาพและด้อยโอกาส ในการประกวด วันนักประดิษฐ์ประจำปี 2556 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดย แบงค์กล่าวว่า ผลงานชิ้นนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดสำหรับผู้ที่มีความพิการมากกว่าเดิมให้สามารถใช้งานได้

          ผลงานนี้ทำงานด้วยระบบสแกนซึ่งเดิมถูกสร้างขึ้นเพื่อผู้พิการที่ยังสามารถใช้แขนได้และใช้มือในการกดสวิตช์ได้ แต่พวกเรานำมาพัฒนาต่อให้มีความพิเศษมากขึ้น ครอบคลุมถึงผู้พิการที่ไม่สามารถขยับตัวได้ตั้งแต่ไหล่ขึ้นไป หรือผู้พิการที่ไม่มีมือ ไม่มีเท้า โดยปรับเพิ่มฟังก์ชันก์พิเศษอุปกรณ์วัดสัญญาณกล้ามเนื้อเข้าไป ซึ่งจะใช้วัดสัญญาณการเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า หน้าผาก หรือคิ้ว ซึ่งในชุดอุปกรณ์ทั้งหมดประกอบไปด้วย เครื่องวัดสัญญาณกล้ามเนื้อที่ติดกับแถบคาดศีรษะ และกล่องบรรจุแผงวงจรสำหรับการทำงานอีกสี่กล่องคือ กล่องควบคุมกลางหนึ่งกล่อง กล่องควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าสองกล่อง และกล่องสำคัญที่สุดคือกล่อง Emergency

          “สนุ้กเกอร์สมาชิกอีกคนในทีมอธิบายถึงวิธีการทำงานว่า อุปกรณ์นี้ใช้ระบบสแกนในการควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งสามารถควบคุมได้สูงสุด 16 เครื่องภายในห้องเดียวกัน ซึ่งสามารถตั้งในตำแหน่งใดก็ได้เพราะเป็นอุปกรณ์ควบคุมระยะไกลสูงสุดถึง 100 เมตร โดยเมื่อมีสัญญาณการเกร็งกล้ามเนื้อไม่ว่าจากการขยับคิ้วหรือส่วนอื่นบนใบหน้าเกิดขึ้นจากผู้ป่วย      ระบบสแกนในกล่องควบคุมจะทำการไล่รหัส (address) ของเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อผู้ป่วยต้องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดใดก็สั่งการด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อ ซึ่งจะเป็นการสั่งเปิดหรือปิดนั้นขึ้นอยู่กับสถานะเดิมของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น 

          “การทำงานของกล่อง Emergency ซึ่งกล่องนี้มีความพิเศษตรงที่มีกล้องวงจรคอยจับภาพในห้องที่ผู้ป่วยอยู่ตลอดเวลา ที่เราพัฒนาขึ้นมานั้นหากเมื่อใดก็ตามที่ผู้ป่วยเลือกใช้กล่องนี้แสดงว่าผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งระบบจะทำการส่งสัญญาณภาพเข้าสู่อีเมล์ของผู้ดูแลหรือญาติทันทีซึ่งสามารถเปิดดูภาพจากกล้องวิดีโอที่ติดตั้งภายในห้องผ่านทางสมาร์ทโฟนทันทีที่มีสัญญาณเตือนว่ามีอีเมลเข้า ซึ่งจะได้เข้าช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงทีแชมป์กล่าว

          ด้าน ดร.ศราวัณ วงษา อาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษากลุ่มนี้กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำงานของอุปกรณ์นั้นมีปัญหาคือสัญญาณการเกร็งกล้ามเนื้อที่ใช้ในการสั่งงานกล่องเครื่องมือของผู้ป่วยแต่ละคนนั้นไม่เท่ากันซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาว่าอุปกรณ์จะไม่ทำงานสำหรับการสั่งงานจากบางคน แต่อย่างไรก็ตามนักศึกษากลุ่มนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยเพิ่มฟังก์ชันการตั้งค่าอ้างอิงซึ่งได้มาจากการบันทึกค่าสัญญาณการทำงานของกล้ามเนื้อในขณะผ่อนคลายและในขณะเกร็งสั่งการ ทำให้สามารถรองรับการสั่งงานได้กับทุกคน

            อย่างไรก็ตาม แชมป์”  ทิ้งท้ายว่า อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมานั้นยังเป็นชุดต้นแบบซึ่งจะทำการพัฒนาต่อให้มีความเสถียรมากยิ่งขึ้นและจะนำไปติดตั้งที่โรงพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์โดยตรงและหากผลเป็นที่น่าพอใจอาจมีการขยายผลงานให้ผู้ป่วยนำกลับไปใช้ที่บ้านและเข้าสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป แต่ประโยชน์สูงสุดของผลงานนี้คือคุณค่าทางจิตใจที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยไม่ต้องคิดว่าตนเองต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา



 

อ้างอิงจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.).มจธ.เอาใจ "ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าระยะไกล"...เพื่อชีวิตอิสระสำหรับผู้พิการ
  • Environmental Object  คือ  อุปกรณ์ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าระยะไกล
  • Environmental Data  คือ เครื่องวัดสัญญาณกล้ามเนื้อที่ติดกับแถบคาดศีรษะ และกล่องบรรจุแผงวงจรสำหรับการทำงานอีกสี่กล่องคือ กล่องควบคุมกลางหนึ่งกล่อง กล่องควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าสองกล่อง และกล่องสำคัญที่สุดคือกล่อง Emergency  สัญญาณการเกร็งกล้ามเนื้อไม่ว่าจากการขยับคิ้วหรือส่วนอื่นบนใบหน้าเกิดขึ้นจากผู้ป่วย  
  •  Metadata คือ การส่งสัญญาณภาพเข้าสู่อีเมล์ ซึ่งสามารถเปิดดูภาพจากกล้องวิดีโอที่ติดตั้งภายในห้องผ่านทางสมาร์ทโฟนทันที

  อรไพลิน พรหมพันธกรณ์ (บีม)

มจธ.เอาใจ “Petlover” สั่งงานผ่านทางเว็บไซต์ ให้อาหารสัตว์ได้แล้ว

มจธ.เอาใจ “Petlover” สั่งงานผ่านทางเว็บไซต์  ให้อาหารสัตว์ได้แล้ว

           วิศวะคอมฯ มจธ. ส่ง Holiday Pet Manager โปรเจกเขย่าวงการเอาใจคนรักสัตว์ ด้วยเครื่องให้อาหารสัตว์เลี้ยงนวัตกรรมใหม่ในเอเชีย จัดการกับปัญหาไม่มีเวลาดูแลสัตว์เลี้ยง สามารถตั้งโปรแกรมสั่งการให้อาหารผ่านทางเว็บไซต์ได้เมื่อไม่มีคนอยู่บ้าน สำหรับคนรักหมาแมวแล้วการจากบ้านไปหลายวัน เป็นเรื่องหนักหัวใจ ยิ่งหนุ่มสาวที่ไม่มีใครให้ฝากเลี้ยงแล้วละก็อาจหมดโอกาสเลยทีเดียว ก็เพราะการจัดหาอาหารไว้ให้น้องหมา น้องแมวเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้“….”  อลิสา สาตราวาหะ และ “….”  ดลพร ฐิติพัฒนาวาณิช  2 นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ดีกรี วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จึงนำความรู้จากห้องเรียนมาสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสัตว์เลี้ยงเอาใจคนรักสัตว์โดยมีอาจารย์ Sally E. Goldin และอาจารย์ Kurt T Rudahlจากคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มจธ. เป็นที่ปรึกษา                      อลิสา  บอกว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่มักจะเจอปัญหาบ่อยๆ เวลาที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหลายวันและไม่มีคนอยู่บ้าน  ซึ่งเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของอาหาร เจ้าของสัตว์เลี้ยงบางคนตัดสินใจให้อาหารจำนวนมากทิ้งไว้แก่ สัตว์เลี้ยง แต่การทำแบบนี้อาจจะทำให้สัตว์เลี้ยงนั้นสุขภาพไม่ดี  แต่หากต้องพึ่งพาเพื่อนบ้านอยู่เป็นประจำก็คงไม่เหมาะ จึงตัดสินใจทำโปรเจกต์ที่มีชื่อว่า “Holiday Pet manager”  หรือเรียกง่ายๆ ว่าระบบจัดการสัตว์เลี้ยงในวันหยุด นั่นเอง                     “รูปแบบการทำงานของเครื่องนี้แบ่งเป็นสองระบบโดยผู้ใช้งานสามารถเลือกโหมดการทำงานตามต้องการ ประกอบไปด้วย โหมดการทำงานแบบ Onetime Feeding เป็นการตั้งโปรแกรมให้มีการทำงานครั้งเดียว เช่น ผู้ใช้งานตั้งโปรแกรมให้เครื่องทำงานตอนสี่โมงเย็น และเมื่อถึงเวลาเครื่องจะให้อาหารสัตว์และจบการทำงานเพียงเท่านี้ และอีกโหมดก็คือ โหมดการทำงานแบบ Setting Schedule เช่นมีการตั้งโปรแกรมการให้อาหารสัตว์ทุกวันจันทร์ อังคาร พุธ เวลาสี่โมงเย็น เครื่องก็จะทำการให้อาหารสัตว์ตอนสี่โมงเย็นของวันจันทร์ อังคาร พุธ เป็นประจำทุกสัปดาห์                      ดลพร กล่าวด้วยว่าระบบการทำงานของเครื่องให้อาหารสัตว์เลี้ยงผ่านทางอินเตอร์เน็ต ทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถสั่งโปรแกรมการให้อาหารผ่านเว็บได้ทุกครั้งที่ต้องการ โดยทุกครั้งที่เครื่องทำการให้อาหารตามโปรแกรมที่ตั้งไว้เสร็จแล้วจะมีการแจ้งเตือนขึ้นบนหน้าเว็บว่ามีการให้อาหารเรียบร้อยแล้ว ทำให้เจ้าของหมดกังวลเรื่องสัตว์เลี้ยงไม่ได้กินอาหาร อีกทั้งในกรณีที่อาหารหมดก็จะมีการแจ้งเตือนบนหน้าเว็บเช่นกัน และยังเพิ่มฟังชันก์ด้วยการส่ง e-mail ไปยังเจ้าของสัตว์เลี้ยงเพื่อแจ้งให้ทราบอีกด้วย            โปรเจก “Holiday Pet manager” ถูกนำไปเสนอที่ ICT International Student Project Conference 2013 ที่ผ่านมา โดยมีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมมากมาย รวมทั้งมหาวิทยาลัยจากประเทศญี่ปุ่น และประเทศมาเลเซีย ซึ่งโปรเจกนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 ประเภท Multimedia and Embedded Systems จากการประกวด Sofeware Innovation Contest  ที่จัดขึ้นในการประชุมนี้อีกด้วย

               อย่างไรก็ตาม อลิสา กล่าวว่าเครื่องให้อาหารสัตว์เลี้ยงที่สร้างขึ้นนั้นยังเป็นเพียงเครื่องต้นแบบเท่านั้น แต่ก็มีการรองรับภาษาอังกฤษ, ภาษาญี่ปุ่น และระบบสมาชิกเข้าไปด้วย เพื่อใช้สำหรับแผนการต่อยอดเชิงพาณิชย์ในอนาคต เนื่องจากเครื่องให้อาหารสัตว์เลี้ยงมีขายแล้วในยุโรป แต่ในเอเชียยังไม่มีจึงถือเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับชาวเอเชีย และเป็นโอกาสที่ดีที่จะต่อยอด เพราะหากต้องนำเข้าจากยุโรปอาจทำให้ราคาของเครื่องนั้นสูงมาก
 

อ้างอิงจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.).มจธ.เอาใจ “Petlover” สั่งงานผ่านทางเว็บไซต์ ให้อาหารสัตว์ได้แล้ว[อินเทอร์เน็ต].2556[เข้าถึงเมื่อ 25 มิ.ย. 2556]เข้าถึงได้จาก http://news.thaipbs.or.th/content/%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88-%E2%80%9Cpetlover%E2%80%9D-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7 


ข้อคิดเห็น

  • Environmental Object  คือ  โปรแกรมสั่งการให้อาหารผ่านทางเว็บไซต์
  • Environmental Data  คือ ผู้ใช้งานตั้งโปรแกรมให้เครื่องทำงานตามกำหนด
  • Metadata คือ ให้อาหารสัตว์เลี้ยงผ่านทางอินเตอร์เน็ต
 


  อรไพลิน พรหมพันธกรณ์ (บีม)


วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Micro Air Vehicle (MAV) ยานบินสอดแนมขนาดจิ๋ว

กองทัพสหรัฐฯ ทุ่มเทเงินจำนวนมหาศาลเพื่อลดขนาดเครื่องบินสอดแนม และกำลังพัฒนาเครื่องบินขนาดจิ๋วซึ่งปัจจุบันออกมาเป็นฝูงบินสายลับขนาดเท่าแมลง

จากแหล่งข่าวทางอินเทอร์เน็ตหลายแห่งระบุว่า ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮ๊อพกินส์ ร่วมกับสำนักงานเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ฐานทัพอากาศไรท์-แพทเทอร์สัน ในอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย กำลังช่วยกันพัฒนาสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ยานบินขนาดจิ๋ว (Micro Aerial Vehicle – MAV) ที่จะปฏิบัติงานการจารกรรมข้อมูลต่างๆ
หุ่นยนต์แมลงสามารถแทรกซึมเข้าไปในเขตเมืองที่มีตึกและประชาชนหนาแน่นได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับลมและอุปสรรคอื่นๆ ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ที่ทำให้มันทำงานไม่ได้ผล
มันสามารถควบคุมได้จากระยะห่างไกลมากและประกอบด้วยกล้องหนึ่งตัวและไมโครโฟนฝังในหนึ่งตัว
อุปกรณ์ใหม่นี้สามารถลงจอดบนผิวหนังของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ ใช้เข็มขนาดจิ๋วเพื่อเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอและบินออกไปอีกครั้งด้วยความเร็ว โดยที่เป้าหมายจะรู้สึกเหมือนถูกยุงกัดโดยไม่มีรู้สึกร้อนและบวมแต่อย่างใด
เครื่องบินสอดแนมที่ตรวจจับได้ยากนี้สามารถฝังไมโครชิพระบบชี้เฉพาะด้วยคลื่นความถี่วิทยุ(RFID) ไว้ใต้ผิวหนัง และสามารถใช้เพื่อฉีดสารพิษเข้าสู่ร่างกายของศัตรูในระหว่างสงครามได้ด้วย
เมื่อช่วงต้นปี 2007 รัฐบาลสหรัฐฯ ถูกกล่าวหาว่ากำลังพัฒนาหุ่นยนต์แมลงสายลับเมื่อผู้ประท้วงต่อต้านสงครามในสหรัฐฯ เห็นวัตถุบินได้บางอย่างที่คล้ายกับแมลงปอหรือเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กบินโฉบอยู่เหนือพวกเขา
สหรัฐฯ ไม่ใช่ปรเทศเดียวที่กำลังย่อขนาดเครื่องบินสอดแนมที่เลียนแบบธรรมชาติ ฝรั่งเศส,เนเธอร์แลนด์ และอิสราเอลก็กำลังพัฒนาอุปกรณ์ที่คล้ายกันนี้ด้วยเช่นกัน

ฝรั่งเศสพัฒนาเครื่องบินสอดแนมขนาดจิ๋วเลียนแบบแมลงกระพือปีก ส่วนเนเธอร์แลนด์ได้สร้างเครื่องบินสอดแนม Parrot AR ด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมการบินอวกาศของอิสราเอล (Israel Aerospace Industries – IAI) ได้ผลิตเครื่องบินสอดแนมรูปทรงผีเสื้อ ที่มีน้ำหนักเพียง 20 กรัม ซึ่งสามารถเก็บข่าวภายในอาคารได้
เครื่องบินสอดแนมแมลงนี้ มีกล้องขนาด 0.15 กรัม และการ์ดความจำ ที่ควบคุมระยะไกลด้วยหมวกพิเศษ เมื่อสวมหมวกนี้แล้ว ผู้ควบคุมจะพบว่าตัวเองอยู่ในส่วนหัวของผีเสื้อ และมองเห็นสิ่งที่ผีเสื้อมองเห็นในขณะนั้นได้เหมือนจริง
อ้างอิง

ยานบินสอดแนมขนาดจิ๋ว[ออนไลน์].เข้าถึงเมื่อ 24-06-2013.เข้าถึงได้จาก http://unigang.com/Article/13892


ข้อคิดเห็น
Environmental Object คือ ยานบินสอดแนมขนาดจิ๋ว
Environmental Data คือ ข้อมูลที่ยานบินสอดแนมขนาดจิ๋วบันทึกไว้
Metadata คือ ข้อมูลที่แปรผลมาจากยานบินสอดแนมขนาดจิ๋ว

ธนาภา นิลวิเชียร (แฟม) 
5415021

ITS เทคโนโลยีปฏิรูปการเดินทาง ลดอุบัติเหตุ แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด และปัญหาสิ่งแวดล้อม


การพัฒนาเทคโนโลยี นับเป็นความก้าวหน้าของมนุษย์ในการนำเอาความรู้ในหลายๆ ด้าน มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและพัฒนาความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทาง ก็เป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งของการใช้ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะศาสตร์ด้านอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์มาใช้ เพื่อช่วยให้ประชาชนและสังคม สามารถเข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ หรือ ITS - Intelligent Transport Systems เป็นระบบที่หลอมรวมเอาเทคโนโลยีด้านข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ และ โทรคมนาคม มาผสมผสานให้เกิดการประยุกต์ใช้งาน เช่น เทคโนโลยีประมวลผลภาพ (Image Processing) เทคโนโลยีการระบุตัวตนด้วยความถี่คลื่นวิทยุ(RFID) เทคโนโลยี การสื่อสารไร้สาย(Wireless Communication) เทคโนโลยีรู้จำเสียง (Voice Recognition) เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) เทคโนโลยีคลังข้อมูล (Data Mining) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Data Warehouse) เทคโนโลยีตรวจจับหรือรับรู้(Sensor) เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง การควบคุม การติดตาม รวมไปถึงความปลอดภัยในการเดินทาง ด้วยเทคโนโลยีอันชาญฉลาดเหล่านี้ จะสามารถบริหารจัดการการจราจรให้เป็นระบบ และตอบสนองต่อความจำเป็นของการขนส่งและเดินทางในประเทศได้ในระดับหนึ่ง เช่น ช่วยลดอุบัติเหตุ แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด และปัญหาสิ่งแวดล้อม

องค์ประกอบของ ITS
ITS ไม่ใช่ชื่อของเทคโนโลยีโดยตรงแต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกแนวคิดของการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และโทรคมนาคม มาใช้ปรับปรุงการขนส่งและการจราจร โดยมีหัวใจหลักสำคัญคือการประมวลผลข้อมูลและข้อสนเทศที่มีอยู่ผ่านระบบสารสนเทศและการสื่อสาร และนำมาเผยแพร่ แลกเปลี่ยน ระหว่างผู้ใช้และผู้ให้บริการ
ส่วนระบบอัจฉริยะ นั้นเป็นการใช้คำเชิงเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีที่มีมาก่อนหน้า ยกตัวอย่าง เช่น หากรถยนต์มีอุปกรณ์ ที่สามารถสื่อสารและรับข้อมูลปริมาณการจราจรเพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำแก่ผู้ขับขี่ได้ว่า เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่เหมาะสมสำหรับเวลานั้น ต่างจากเดิมที่ผู้ขับจะต้องตัดสินเอง โดยไม่มีข้อมูลหรือคำแนะนำใดๆ มาช่วยตัดสินใจเลย ความสามารถของระบบ ที่เพิ่มขึ้นนี้ถือได้ว่า มีความอัจฉริยะ ความอัจฉริยะของยานพาหนะและระบบขนส่งที่กล่าวมานั้นอาจก้าวหน้าถึงขั้นเข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์ เช่น รถยนต์สามารถขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติและติดต่อสื่อสารระหว่างรถยนต์กันได้เอง ตลอดจนติดต่อสื่อสารกับศูนย์ข้อมูลจราจรเพื่อสอบถามข้อมูล ปริมาณการจราจร จุดเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือจุดที่มีการก่อสร้าง เพื่อวิเคราะห์และเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทาง รวมถึงรายงานสภาพการณ์บนท้องถนน การติดตามรถ หรือระบบจัดเก็บค่าผ่านทางโดยอัตโนมัติ

ปัจจุบัน ITS เน้นไปที่การขนส่งและจราจรบนถนนเป็นหลักเนื่องจากเป็นประเภทการเดินทางที่เกิดขึ้นมากที่สุด และยังกระทบกับประชาชนจำนวนมาก บทความนี้ได้นำเอาการแบ่งประเภทของการนำเอา ITS มาใช้ในงานด้านขนส่งและจราจรของประเทศญี่ปุ่นมาดัดแปลง โดยแบ่งออกเป็นแปดด้านดังนี้

1. ระบบนำทางขั้นก้าวหน้า (Advances in Navigation Systems) ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่ มีความสะดวกสบายในการเดินทาง เพราะผู้ขับขี่สามารถทราบข้อมูลในรูปของเส้นทางบนแผนที่ ซึ่งจะแสดงเส้นทางจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดปลายทาง เช่น ข้อมูลสถานที่จอดรถ ที่พักอาศัย เส้นทางที่มีการก่อสร้าง รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับจุดหมายปลายทาง นอกจากการแสดงแผนที่แล้ว ระบบนำทางดังกล่าว ยังสามารถพัฒนาให้แนะนำเส้นทางการขับขี่อย่างละเอียดโดยมีคำแนะนำเป็นเสียงพูด เช่น เตือนให้เปลี่ยนเลนเพื่อเตรียมเลี้ยวซ้ายหรือขวา เตือนให้เตรียมตัวกลับรถ การบอกทางเพื่อให้กลับสู่เส้นทางเดิมกรณีขับขี่ผิดทาง การพัฒนาขั้นต่อไปของระบบนี้ อาจถึงขั้นแนะนำข้อมูลประกอบการขับขี่อื่นๆ เช่น เสียงเตือนให้ลดอัตราเร็วเนื่องจากข้างหน้าเป็นทางโค้ง และอนาคตอาจสามารถเชื่อมต่อข้อมูลการจราจรกับศูนย์ข้อมูลจราจร จนทำให้ระบบสามารถทำงานได้หลากหลาย คือ แนะนำเส้นทางที่มีการจราจรเบาบางได้ หรือแนะแนะให้หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นโดยที่ผู้ขับขี่ยังไม่ได้เดินทางไปถึงบริเวณดังกล่าว ให้ข้อมูลเส้นทางที่มีการก่อสร้าง ปิดถนน หรืออุบัติเหตุให้ข้อมูลเกี่ยวกับจุดสนใจหรือสถานที่แวะพักต่างๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ที่จอดรถ คำนวณระยะเวลาเดินทางที่สอดคล้องตามสภาพการจราจร จะเห็นได้ว่าการแนะนำ เส้นทางจะมิได้อยู่บนพื้นฐานเส้นทางที่มีระยะทางสั้นที่สุดเพียงเงื่อนไขเดียว แต่จะเป็นการรวมเอาเงื่อนไขต่างๆ เข้ามาคำนวณร่วมด้วย เพื่อให้ได้เส้นทางที่ใกล้กับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด และระบบยังสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่น่าสนใจรอบข้างทางและ จุดหมายปลายทาง รวมทั้งแนะนำให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่จอดรถเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ขับขี่อีกด้วย

2. ระบบเก็บเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Toll Collection) ระบบนี้จะช่วยผู้เดินทางไม่ต้องหยุดรถหรือชะลอรถเพื่อจ่ายค่าผ่านทาง ช่วยลดระยะเวลาและแก้ปัญหาจราจรที่ด่านเก็บเงิน และช่วยอำนวยความสะดวกในการผ่าน เข้าออกพื้นที่ควบคุม หรือเส้นทางพิเศษบางประเภท เพื่อให้การผ่านเข้าออกสามารถทำได้สะดวกรวดเร็ว หลักการทำงานของระบบนี้คืออุปกรณ์ที่ติดกับ ตัวรถจะสื่อสารกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดอยู่ที่ด่านหรือจุดเฉพาะสำหรับตรวจสอบการเข้าออกพื้นที่ควบคุมหรือเส้นทางพิเศษ การสื่อสารจะทำโดยอาศัยเทคนิคการสื่อสารแบบไร้สาย และรถยนต์สามารถวิ่งผ่านไปมาได้โดยไม่ต้องหยุดจอดรอเพื่อชำระค่าผ่านทาง การชำระเงินอาจเป็นลักษณะซื้อบัตรและชำระล่วงหน้า แล้วทำการตัดค่าผ่านทางจากยอดเงินที่มีในบัตร หรืออาจเป็นการตัดค่าผ่านทางจากระบบบัตรเครดิต บัญชีธนาคาร หรือชำระตามร้านสะดวกซื้อ ตัวอย่างของประเทศที่ใช้ระบบนี้ เช่น ที่เมืองลอนดอนในประเทศอังกฤษซึ่งมีปริมาณการจราจรหนาแน่นมาก ได้มีการกำหนดให้เรียกเก็บค่าเข้าพื้นที่สำหรับผู้ที่ต้องการนำรถยนต์เข้าในบริเวณพื้นที่เมืองชั้นใน ทั้งนี้เพื่อลดความคับคั่งของปริมาณจราจรตลอดจนมลภาวะลงหรือในประเทศออสเตรเลียและจีน ได้มีการติดตั้งระบบเก็บเงินอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว ไว้ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางของทางด่วน ทำให้รถยนต์ที่วิ่งผ่านสามารถวิ่งผ่านด้วยความเร็วสูง และการใช้ทางด่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. ระบบช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่ (Assistance for Safe Driving) เป็นระบบที่มีการติดตั้งตัวเก็บข้อมูลในบริเวณต่างๆ บนท้องถนนโดยการรวบรวมข้อมูลของตำแหน่ง และการเคลื่อนที่ของยานพาหนะในบริเวณรอบๆ รวมไปถึงสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่อยู่ข้างหน้า โดยผ่านเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งอยู่บนถนนและที่ตัวรถ หลังจากนั้นข้อมูลจะถูกจัดส่งให้กับผู้ขับขี่รถแต่ละคนในขณะนั้นแบบ Real Time ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ขับขี่เดินทางได้อย่างปลอดภัย ระบบดังกล่าว นอกจากจะช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับข้อมูลหรือการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่แล้ว ยังนำมาใช้เพื่อรักษาชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลอื่นด้วย เช่น การมีเซ็นเซอร์ตรวจจับคนข้ามถนน ในบริเวณทางโค้งหักศอกที่เป็นมุมอับสายตาสำหรับผู้ขับขี่ หรือตรวจจับและระวังการวิ่งตัดหน้ารถโดยเด็กเล็กหรือผู้ที่ขาดความระมัดระวัง นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับรถยนต์หรือจักรยานยนต์ที่วิ่งหรือกำลังจะวิ่งมาตัดหน้า ตรวจจับสภาพอากาศและสภาพถนน เพื่อเตือนในกรณีที่ถนนลื่น หรือทัศนวิสัยไม่ดีก่อนที่จะขับขี่ไปถึงบริเวณดังกล่าว ในอนาคตอันใกล้อาจมีอุปกรณ์ที่ติดตั้งภายในรถเพิ่มเติมเพื่อช่วยในการควบคุมรถ เช่น ระบบช่วยเบรคหรือควบคุมพวงมาลัยแบบอัตโนมัติ เมื่อพบสิ่งกีดขวาง และเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ใน ตัวรถยนต์ ก็สามารถส่งข้อมูลและติดต่อสื่อสารกับรถยนต์คันอื่นๆ หรือกับเซ็นเซอร์ข้างถนนได้ด้วย ทั้งนี้เพื่อเตือนให้รถยนต์หรือผู้ใช้ทางเท้าได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรือเพื่อให้เกิดความระมัดระวังเพิ่มขึ้น

4.ระบบการบริหารจัดการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ (Optimization of Traffic Management) ระบบนี้จะจัดการการจราจรบริเวณทางแยก หรือบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ โดยผู้ให้บริการแจ้งเหตุการณ์ เช่น การตรวจจับ อุบัติเหตุ และให้ข้อมูลการควบคุม การจราจร นอกจากนี้ยังแนะนำเส้นทาง แก่ผู้ขับขี่ผ่านมอนิเตอร์ที่ติดตั้งในรถ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการควบคุมการจราจร ไม่เพียงแต่ ในพื้นที่ ที่มีการจราจรที่ติดขัดเท่านั้นแต่รวมถึงเส้นทางการจราจรทั้งหมด ได้มีการคาดการณ์กันว่า เมื่อการเชื่อมต่อและสื่อสารแบบ สองทาง ระหว่างผู้เดินทางและศูนย์บริหารจัดการจราจรเกิดขึ้นในวงกว้างแล้ว จะสามารถสื่อสารกันแบบสองทางได้อย่างสะดวก ทั้งในรถยนต์ ที่บ้าน ที่ทำงาน หรือผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่นโทรศัพท์มือถือ โดยศูนย์บริหารจัดการจราจรจะนำเอาข้อมูลความต้องการเดินทางของผู้เดินทางมาคำนวณวิเคราะห์เพื่อการกระจายปริมาณการจราจรออกไป เพื่อให้ระบบขนส่งโดยรวมมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยจะเป็นการแนะนำเส้นทางที่ไม่ใช่การแนะนำให้ทุกคนเลือกใช้เส้นทางที่เบาบางในขณะนั้นเหมือนกันหมด นอกจากนี้ยังสามารถแนะนำให้หลีกเลี่ยงเส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุ มีการก่อสร้าง หรือมีการปิดถนนได้ด้วย

5. การสนับสนุนระบบขนส่งมวลชนหรือขนส่งสาธารณะ (Support for Public Transport) เป็นการอำนวยความสะดวกสบายให้ผู้ใช้บริการระบบขนส่งมวลชน ให้เกิดความยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนถ่าย การเข้าและออกจากระบบขนส่งมวลชนตามเวลาที่สอดคล้องกัน ระบบสนับสนุนต่างๆ จึงมีความจำเป็น เช่น สถานะการให้บริการของระบบขนส่งมวลชนประเภทต่างๆ ตำแหน่งและจำนวนที่นั่งว่าง ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และที่จอดรถ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้สามารถส่งผ่านไปยังช่องทางต่างๆ หลายช่องทาง ได้แก่ ที่พักอาศัยและที่ทำงาน อุปกรณ์ในรถยนต์หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ ตลอดจนจุดติดตั้งข้างถนน ป้ายหยุดรถประจำทาง และสถานีขนส่ง เพื่อให้ผู้เดินทางสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและนำมาซึ่งการใช้งานระบบขนส่งมวลชนอย่างสะดวกและปลอดภัย

6. การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการเกี่ยวกับรถเพื่อการพาณิชย์ (Increasing Efficiency in Commercial Vehicles Operations) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการขนส่งสินค้า ต้องมีศูนย์รวบรวมและจัดเก็บสถานะการใช้งานรถขนส่งสินค้าทั้งหมด เช่น ตำแหน่งของรถขนส่งในระหว่างขนส่ง จุดแวะพักหรือขนถ่ายสินค้า จุดเริ่มต้นและจุดปลายทาง แล้วกระจายข้อมูลเหล่านี้ในฐานะข้อมูลพื้นฐานให้กับผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทุกราย นอกจากนี้ยังดำเนินการจัดหาระบบช่วยบริหารจัดการรถขนส่งสินค้าระหว่างผู้ประกอบการขนส่งหลายๆ ราย โดยมองว่ารถทั้งหมดเสมือนมีเจ้าของเดียวกัน และพยายามลดจำนวนเที่ยวรถเปล่าลง เพื่อให้เกิดการใช้รถขนส่งร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าอย่างเป็นระบบ และเป็นอัตโนมัติ ปัจจุบันยังได้มีความพยายามค้นคว้าวิจัยเพื่อให้ขบวนรถขนส่งสามารถวิ่งตามกันไปโดยอัตโนมัติโดยมีผู้ขับขี่เพียงคนเดียวที่รถต้นขบวน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งลงไปอีก

7. ระบบสนับสนุนผู้ใช้ทางเท้า (Support for Pedestrians) ผู้ใช้อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับรถและถนนก็คือผู้ใช้ทางเท้า ผู้ใช้ทางเท้าในที่นี้หมายความรวมถึงผู้ใช้ทางเท้าทั่วไป คนชรา ผู้ทุพพลภาพ และผู้ใช้จักรยาน จุดประสงค์คือทำให้เกิดความสะดวกสบาย ปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับผู้ใช้ทางเท้า ตัวอย่างเทคโนโลยีที่สามารถช่วยเหลือผู้ใช้ทางเท้าได้ เช่น อุปกรณ์นำทางแบบพกพา เซ็นเซอร์สำหรับตรวจจับและรายงานชื่อสถานที่หรือนำทางด้วยเสียงสำหรับคนตาบอด เซ็นเซอร์ตรวจจับคนข้ามถนนเพื่อส่งข้อมูลเตือนแก่ผู้ขับขี่ให้ระมัดระวังและ/หรือควบคุมให้รถหยุดแบบอัตโนมัติ สัญญาณไฟสำหรับคนข้ามถนนที่สามารถปรับเปลี่ยน ช่วงเวลาให้เหมาะสมกับจำนวนและประเภทของคนข้ามได้

8. ระบบสนับสนุนสำหรับการทำงานของยานพาหนะในเหตุฉุกเฉิน (Support for Emergency Vehicle Operations)เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุบนท้องถนน ได้รวดเร็วทันการและเหมาะสม รถที่ประสบเหตุจะมีอุปกรณ์ติดในรถ ที่สามารถแจ้งเหตุและสื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่หน่วยงานที่รับผิดชอบในการเตรียมการ เช่น ระดับความรุนแรงของอุบัติเหตุ ลักษณะของอุบัติเหตุ จำนวนผู้โดยสารในรถ จำนวนรถที่เกิดเหตุ ตลอดจนตำแหน่งของรถที่เกิดเหตุขณะนั้น ระบบนี้อาจก้าวหน้าไปถึงขั้นให้ข้อมูลทางกายภาพของผู้โดยสารและผู้ขับขี่ด้วย เช่น เพศ/วัย ลักษณะการบาดเจ็บ บริเวณกระดูกที่หัก การเสียเลือด การหมดสติ เป็นต้น ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ผู้ให้ความช่วยเหลือสามารถวินิจฉัยได้ ล่วงหน้าหรือระหว่างเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ เพื่อลดระยะเวลาที่ต้องใช้ก่อนเข้าถึงและเริ่มดำเนินการช่วยเหลือ หลังจากนั้นข้อมูลสภาพจราจรและสภาพความเสียหายของถนน(กรณีเกิดภัยพิบัติ) ยังถูกรวบรวมและวิเคราะห์แบบตามเวลาจริงเพื่อส่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบใช้วางแผนและสามารถเดินทางเข้าสู่พื้นที่เกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว ระบบดังกล่าวยังอาจทำงานร่วมกับศูนย์บริหารจัดการจราจร เพื่อให้ช่วยจัดการสัญญาณไฟจราจรหรืออำนวยเส้นทางสำหรับรถฉุกเฉินต่างๆ ได้ด้วย


รูปแบบการนำเอา ITS มาใช้งาน ITS ประเทศไทย
การพัฒนาระบบ ITS จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันในแต่ประเทศ ขึ้นอยู่กับวิธีการพัฒนาและการจัดการขนส่งและการจราจรของแต่ละประเทศ ซึ่งทำได้ หลายแนวทาง หลายรูปแบบ และแตกต่างกันไป สำหรับประเทศไทยนั้น ได้มีแนวคิดที่จะนำ ITS เข้ามาใช้ โดยความร่วมมือจากภาครัฐและคณะกรรมการจัดการระบบ ITS ของไทย ได้กำหนดกรอบทิศทางการพัฒนาระบบ ITS เช่น การจัดทำระบบรายงานจราจรแบบตามเวลาจริง (Real-time) การติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล การจัดตั้งศูนย์ให้บริการข้อมูลจราจร รวมถึงแผนการติดตั้งระบบถ่ายภาพผู้ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงบริเวณทางแยก โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดเข้าสู่เครือข่ายต่างๆ และเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อการประสานงาน และการติดต่อด้วย ข้อมูลที่ทันสมัย ซึ่งในหลายหน่วยงานก็มีแนวทางที่จะนำ ITS มาพัฒนาให้สามารถใช้งานได้อย่างเป็นระบบ
ภายใต้โปรแกรมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้กำหนดนโยบายในการให้ทุนสนับสนุนการวิจัย โดยเริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2547 และได้กำหนดเป็นกลยุทธ์สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ได้แก่ Smart sensing, Communications Information, Platform Safety ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมานี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาการจราจร โดยจัดตั้งกลุ่ม Thailand ITS Forum ขึ้น เพื่อเชื่อมโยงทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง( Stakeholders) ภายในประเทศ ได้แก่ ผู้เดินทาง ผู้จัดหาและควบคุมระบบ ชุมชน หรือผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้เกิดการนำข้อมูลและเทคโนโลยีที่มีอยู่ในประเทศมาใช้งานด้านการจราจรและระบบขนส่ง เช่น ระบบประมวลสภาพจราจรจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ระบบนี้จะรายงานข้อมูลสภาพการจราจร โดยนำซอฟต์แวร์และอุปกรณ์มาใช้ประมวลผลภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว เพื่อให้ได้อัตราเร็ว จำนวน และประเภทรถ พร้อมทั้งรายงานสถิติที่เกี่ยวข้องกับจราจรทั้งสภาพปัจจุบันและย้อนหลัง โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
นอกจากนี้ยังมีระบบอื่นๆ ที่จะเอื้อประโยชน์ต่อการใช้งาน ได้แก่ เครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สายสำหรับตรวจนับรถยนต์ ระบบนับสัญญาณเวลาไฟ ระบบกระจายข้อมูลสภาพการจราจรแบบ Real-time แลโปรแกรมรู้จำป้ายทะเบียนรถ ระบบต่างๆเหล่านี้ ล้วนสามารถเชื่อมโยงและพัฒนาให้สามารถทำงานได้ โดยซอฟต์แวร์ประมวลผลและรายงานผล ที่ต้องอาศัยข้อมูลจากแหล่งต่างๆ จากหลายหน่วยงานมาใช้เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบอัจฉริยะสำหรับการเดินทางที่เกิดขึ้นในอนาคต

อ้างอิง
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเด็กและเยาวชน (วารสาร@Science)
จาก http://www.most.go.th/@science/index.php/lastest-sti-news/172-its----.html

ข้อคิดเห็น
Environmental Object คือ ระบบการขนส่งและจราจรอัจฉริยะ

Environmental Data คือ เป็นการรวมเอาเทคโนโลยีด้านข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ และ โทรคมนาคม มาผสมผสานให้เกิดการประยุกต์ใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง การควบคุม การติดตาม รวมไปถึงความปลอดภัยในการเดินทาง

Meta Data คือ ระบบนี้จะรายงานข้อมูลสภาพการจราจร โดยนำซอฟต์แวร์และอุปกรณ์มาใช้ประมวลผลภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว เพื่อให้ได้อัตราเร็ว จำนวน และประเภทรถ พร้อมทั้งรายงานสถิติที่เกี่ยวข้องกับจราจรทั้งสภาพปัจจุบันและย้อนหลัง โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

สุพรรษา ภักดีศรีสันติกุล(ออย)

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปี 2015 ได้ซื้อ! แว่นดำน้ำ AR บอกข้อมูลโลกใต้ทะเล

       กำเนิดแนวคิดแว่นดำน้ำอัจฉริยะ ซึ่งนำเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงหรือ Augmented Reality มาประยุกต์กับแว่นดำน้ำเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินกับการสำรวจโลกใต้ทะเลได้สะดวกกว่าเดิม จนอาจทำให้แว่นดำน้ำนี้กลายเป็นสาราณุกรมไฮเทคพกพาที่อุดมด้วยความรู้ชิ้นเยี่ยม
      
       แนวคิดการพัฒนาแว่นดำน้ำเทคโนโลยี AR นี้มีชื่อว่า Smart Swimming Goggles ความสามารถของหน้าจอ Augmented Reality ที่นำมาใช้ในพื้นที่กระจกของแว่นตาจะทำให้ผู้สวมใส่สามารถบอกได้ว่าปลาหรือฉลามที่ว่ายอยู่ตรงหน้านั้นเป็นชนิดใด นอกจากนี้ หน้าจอ AR บนแว่นยังสามารถให้ข้อมูลนักดำน้ำได้ว่าได้ดำน้ำไปนานเท่าใด และเหลือเวลาอีกเท่าใด ซึ่งจะทำให้การบริหารออกซิเจนในถังสามารถทำได้ดีกว่าเดิม
       นอกจากนี้ แนวคิดแว่นดำน้ำอัจฉริยะยังมาพร้อมกล้อง 3 มิติเพื่อให้สามารถถ่ายภาพความประทับใจไว้ได้อย่างสมจริง ขณะเดียวกัน ตัวแว่นจะมาพร้อมระบบสื่อสาร เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดต่อกับนักดำน้ำคนอื่นๆได้เมื่ออยู่ใต้น้ำได้เมื่อต้องการ
      
       คอนเซ็ปต์การพัฒนาแว่นดำน้ำนี้ถูกออกแบบโดย Yanko Design ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Samsung Design Member คอนเซ็ปต์นี้เน้นการสาธิตให้โลกเห็นการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยแว่นดำน้ำนี้จะสามารถบอกโลกได้ว่า ไม่เพียงพื้นที่บนบก แต่ชาวโลกก็สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้เมื่ออยู่ในโลกใต้น้ำ
       นอกจากความสามารถในการสื่อ แว่นดำน้ำนี้ถูกวาดฝันว่าจะสามารถชี้พิกัดตำแหน่งที่นักดำน้ำกำลังสำรวจอยู่ และสามารถเพิ่มเสริมคอนเทนต์มากมายเพื่อบันทึกความทรงจำที่มีคุณค่าจากทริปดำน้ำในแต่ละครั้ง จุดนี้ผู้ออกแบบเชื่อว่าจะสามารถพัฒนาให้การบันทึกเรื่องราวในขณะดำน้ำสามารถทำได้อย่างไร้รอยต่อ และสามารถกลับมาชมในภายหลังได้อย่างสะดวก
       ขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการผลิตหรือพัฒนาแว่นอัจฉริยะในเชิงพาณิชย์ มีเพียงเป้าหมายที่เชื่อว่า แว่นดำน้ำ AR นี้จะสามารถจำหน่ายได้ในปี 2015 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า

แหล่งอ้างอิง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์30 พฤษภาคม 2556 16:37 น

http://manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9560000065107


ข้อคิดเห็น
Environmental Objects : แว่นตาดำน้ำ AR
Environmental Data : ให้ข้อมูลนักดำน้ำเกี่ยวกับการดำน้ำ เป็นกล้อง3มิติ ระบบสื่อสารกับนักดำน้ำคนอื่นๆ
Metadata : การแสดงผลออกมาของงข้อมูลต่างๆ เช่น การแสดงภาพในรูปแบบ3มิติ หรือมีการถ่ายภาพไว้

นางสาวภัทราพร แม้นจันทร์ (ฝ้าย) 5415039

พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากเปลือกกุ้งและไหม



              นักวิจัยจาก Wyss Institute for Biologically Inspired Engineering แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ได้รับแรงบัลดาลใจจากผิวชั้นนอกของแมลง (insect cuticle) พัฒนาวัสดุชนิดใหม่ หรือ ชริลค์ (Shrilk)” ที่มีความแข็งแรง และความเหนียวมากเป็นพิเศษ อีกทั้งสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ และมีราคาถูก ซึ่งวันหนึ่งอาจมาแทนที่พลาสติกแบบเดิม และอาจไปถึงขั้นใช้ในวงการแพทย์ เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง

       เนื่องจากผิวชั้นนอกของแมลงมีสมบัติพิเศษหลายอย่าง เช่น สามารถปกป้องแมลงจากสารเคมีและแรงทางกายภาพอื่นๆ ได้ดี มีน้ำหนักเบา  แข็งแรง เหนียว และมีลักษณะแข็ง (rigid) ก็ได้ เช่น ผิวด้านนอก หรือยืดหยุ่น (elastic) ก็ได้  เช่น บริเวณข้อต่อของแขนขา ดังนั้น นักวิจัยจึงได้วิเคราะห์ผิวชั้นนอกของแมลงซึ่งพบว่า ประกอบด้วยสารไคตินโพลิแซคคาไรด์ และโปรตีน เช่น ไฟโบรอิน (fibroin) ที่พบในใยแมงมุม

       ทีมนักวิจัยจึงคิดค้นวัสดุชนิดใหม่ที่เลียนแบบผิวชั้นนอกของแมลง โดยให้มีส่วนประกอบทางเคมีที่เหมือนกันคือ ประกอบด้วยไฟโบรอินที่เป็นโปรตีนจากไหมและสารไคตินที่สกัดจากเปลือกกุ้งเหลือทิ้ง อย่างไรก็ดี ความลับของชริลค์มิได้มีเฉพาะส่วนประกอบทางเคมีเท่านั้น แต่ยังต้องออกแบบโครงสร้างให้เหมือนตามธรรมชาติอีกด้วย โดยเรียงชั้นของไคโตซานและไฟโบรอินซ้อนกันคล้ายโครงสร้างของไม้อัดจึงจะได้ชริลค์ที่มีสมบัติโดดเด่นด้านความแข็งแรงและความเหนียวที่ใกล้เคียงกับอะลูมิเนียมผสม (aluminium alloys) แต่มีน้ำหนักเบากว่าครึ่ง มีลักษณะใส ย่อยสลายทางชีวภาพได้ มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ และหล่อเป็นรูปร่างที่ซับซ้อนได้ นอกจากนี้ นักวิจัยยังสามารถปรับระดับความแข็ง (stiffness) ได้ตั้งแต่ยืดหยุ่นไปจนถึงแข็งโดยการควบคุมปริมาณน้ำในกระบวนการผลิต        
       เนื่องจากชริลค์มีราคาถูกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงมีแนวโน้มที่จะเป็นพลาสติกทางเลือกใหม่ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย เช่น ถุงขยะ บรรจุภัณฑ์ และผ้าอ้อม เนื่องจากเสื่อมสลายได้เร็วกลายเป็นปุ๋ยที่ช่วยให้ดินดีขึ้นได้ นอกจากนี้ การที่มีสมบัติเข้ากันได้ทางชีวภาพและแข็งแรงจึงสามารถใช้ในงานด้านการแพทย์ เช่น ไหมเย็บแผล และโครงเลี้ยงเซลล์ (scaffold) เป็นต้น

        

หมายเหตุเนื่องจาก ชริลค์ หรือ Shrilk” เป็นวัสดุที่มีองค์ประกอบของไคตินจากเปลือกกุ้ง (shrimp) และโปรตีนจากไหม (silk) ดังนั้น ผู้วิจัยจึงตั้งชื่อวัสดุที่พัฒนาขึ้นนี้โดยนำคำว่า “shrimp” และ “silk” มารวมกัน



แหล่งข่าวhttp://news.harvard.edu/gazette/story/2012/02/as-strong-as-an-insect%E2%80%99s-shell/http://www.sciencedaily.com/releases/2011/12/111213122629.htmhttp://cleantechnica.com/2011/12/16/new-material-shrilk-might-rival-plastic/


วารสารอ้างอิงJavie G. Fernandez, Donald E. Ingber. Unexpected Strength and Toughness in Chitosan-Fibroin Laminates Inspired by Insect Cuticle. Advanced Materials, 2011; DOI: 10.1002/adma.201104051


Environment Objects      พลาสติกชนิดใหม่ที่ย่อยสลายได้ในธรรมชาติ


Environment Data           วัสดุชนิดใหม่ที่ใช้แทนพลาสติก โดยเลียนแบบผิวชั้นนอกของแมลง ให้มีส่วนประกอบทางเคมีที่เหมือนกันคือ ประกอบด้วยไฟโบรอินที่เป็นโปรตีนจากไหมและสารไคตินที่สกัดจากเปลือกกุ้งเหลือทิ้ง และอาศัยการออกแบบโครงสร้างให้เหมือนตามธรรมชาติ  โดยเรียงชั้นของไคโตซานและไฟโบรอินซ้อนกันคล้ายโครงสร้างของไม้อัดจึงจะได้ชริลค์ที่มีสมบัติโดดเด่นด้านความแข็งแรงและความเหนียวที่ใกล้เคียงกับอะลูมิเนียมผสม (aluminium alloys) แต่มีน้ำหนักเบากว่าครึ่ง มีลักษณะใส ย่อยสลายทางชีวภาพได้ มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ และหล่อเป็นรูปร่างที่ซับซ้อนได้ นอกจากนี้ ยังสามารถปรับระดับความแข็ง (stiffness) ได้ตั้งแต่ยืดหยุ่นไปจนถึงแข็งโดยการควบคุมปริมาณน้ำในกระบวนการผลิต

Meta Data     การจัดเรียงโครงสร้างทางเคมี และการสกัดสารบางชนิดจากสิ่งมีชีวิต มาผสมและจัดเรียงโครงสร้างใหม่ร่วมกับสารชนิดอื่น เพื่อให้วัสดุตัวใหม่ที่จะใช้แทนพลาสติก ช่วยลดปัญหาการย่อยสลาย และอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม




นางสาวกาญจนา   บุญวิบูลวัฒน์   5415004