“โถปัสสาวะชายแบบประหยัดนํ้าพร้อมระบบผลิตปุ๋ย” ถือเป็นนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์รายแรกที่นำไอเดียการรีไซเคิลนํ้าปัสสาวะ แยกยูเรียมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และนํ้าที่ผ่านการบำบัดสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ด้วยหลักการ 3R เพื่อชะล้างโถปัสสาวะ สิ่งประดิษฐ์ชิ้นดังกล่าวเป็นผลงานของทีมนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ที่สามารถคว้ารางวัลชมเชย และรางวัลความคิดสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ปฏิวัติการจัดการนํ้าในประเทศไทยจากเวทีการประกวดนวัตกรรมการจัดการนํ้าด้วย 3R ปีที่ 3 ซึ่งปกติการชักโครกทั่วไป ใช้นํ้า 6 ลิตรต่อการชำระล้าง 1 ครั้ง จากสถิติพบว่าเฉพาะคนเมือง ใช้นํ้าเฉลี่ย 320-340 ลิตรต่อวันในการชักโครก ขณะที่คนกรุงเทพฯมีถึงกว่า 7 ล้านคน ลองคิดดูว่าจะต้องสิ้นเปลืองนํ้ามากมายขนาดไหน นอกจากนี้ปัญหาเรื่องของความสะอาดและกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่คนส่วนใหญ่มักรู้สึกรังเกียจที่จะเข้าใช้ห้องนํ้าสาธารณะโดยเฉพาะรถสุขาเคลื่อนที่ จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่ต้องการทำให้โถปัสสาวะชายมีประสิทธิภาพมากที่สุด น.ส.บุษราคัม กุลวงศ์ ตัวแทนทีม นศ.ชั้นปีที่ 4 ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) อธิบายว่า แนวคิดแยกนํ้าปัสสาวะมาผลิตปุ๋ยกับโถปัสสาวะชายประหยัดนํ้า ได้นำมาประยุกต์ใช้กับสิ่งประดิษฐ์ เพราะในนํ้าปัสสาวะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชค่อนข้างสูง โดยเฉพาะไนโตรเจนที่เรารู้จักกันว่ายูเรีย หากรวบรวมนํ้าปัสสาวะได้แล้วนำมาผลิตปุ๋ยก็จะเป็นการช่วยลดต้นทุนให้กับภาคเกษตรของไทย จึงได้พัฒนาต่อยอดเป็น “โถปัสสาวะชายแบบประหยัดนํ้าพร้อมระบบผลิตปุ๋ย” ขึ้น พร้อมระบบผลิตปุ๋ย เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เน้นการจัด การนํ้า และนํ้าปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของระบบการใช้นํ้าอย่างประหยัด เน้นการทำด้วยระบบอัตโนมัติ โดยใช้หลักการของแสงคือ เมื่อคนเข้าไปปัสสาวะ (ในห้องนํ้าชาย) แสงจะสะท้อนกลับไปที่เซ็นเซอร์ วาล์วอัตโนมัติในโถปัสสาวะเปิดสู่ถังเก็บพักนํ้าปัสสาวะ เมื่อผู้ใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกจะไม่มีแสงสะท้อนกลับไปยังเซ็นเซอร์ วาล์วอัตโนมัติก็จะเปิดสู่ถังรับนํ้าชำระโถปัสสาวะและเปิดวาล์วปล่อยนํ้าจากถังชำระล้างออกมา และระบบจะเก็บนํ้าชำระโถปัสสาวะเข้าสู่ถังกรองถ่านกัมมันต์ เพื่อกำจัดเชื้อโรค และแอมโมเนียที่เหลือในนํ้าชะล้าง โดยถังกรองดังกล่าวสามารถกำจัดแอมโมเนียได้ถึง 89% ทำให้นํ้าชะล้างโถปัสสาวะที่ผ่านการกรองนี้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ใหม่ ส่วนถังเก็บนํ้าปัสสาวะจะมีเครื่องมือวัดค่าความเข้มข้นของแอมโมเนียและพีเอชของนํ้าปัสสาวะ โดยปกติเอนไซม์ยูเรียเอสในนํ้าปัสสาวะ จะแปรสภาพยูเรียในนํ้าปัสสาวะให้เป็นแอมโมเนียไอออนทันทีที่นํ้าปัสสาวะมีค่าพีเอชเท่ากับ 9 ระบบก็จะส่งสัญญาณแจ้งว่า นํ้าปัสสาวะที่พักไว้มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการนำไปผลิตปุ๋ย เพียงเติมสารประกอบแมกนีเซียม และฟอสเฟตลงในนํ้าปัสสาวะที่เก็บไว้ ก็จะเกิดเป็นผลึกสตรูไวท์ ซึ่งผลึกดังกล่าวสามารถนำไปใช้แทนปุ๋ยยูเรียได้ สิ่งประดิษฐ์นี้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากหากนำไปใช้กับห้องนํ้าสาธารณะที่มีผู้คนเข้าไปใช้ร่วมกันเป็นจำนวนมาก ๆ เช่น รถสุขาเคลื่อนที่ ที่มีข้อจำกัดของความจุของถังนํ้า การหมุนเวียนนํ้ากลับมาใช้ สามารถลดปริมาณชะล้าง ระบบที่พัฒนาขึ้นจะทำงานโดยอัตโนมัติทั้งการแยกส่วนของนํ้าปัสสาวะไปเก็บไว้เพื่อผลิตปุ๋ย และการปล่อยนํ้าเพื่อชะล้างโถปัสสาวะ พร้อมกับนำนํ้านั้นกลับมาบำบัดหมุนเวียนใช้ใหม่ ทำให้มีนํ้าสำหรับการชะล้างโถปัสสาวะอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองนํ้าอีกต่อไป และนวัตกรรมนี้ผู้ใช้ไม่ต้องสัมผัสกับระบบชำระล้างของโถปัสสาวะ จึงทำให้ผู้สูงอายุหรือผู้พิการได้รับความสะดวก ส่วนในภาคการเกษตรหากสามารถนำปุ๋ยสังเคราะห์ที่ผลิตจากนํ้าปัสสาวะไปใช้ ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ นวัตกรรมโถปัสสาวะชายแบบประหยัดนํ้าพร้อมระบบผลิตปุ๋ย เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เน้นลดการใช้นํ้าด้วยระบบการหมุนเวียนแบบชำระล้าง ซึ่งถือเป็นการฝึกทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ให้กับเยาวชนในการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ดังนั้นเชื่อว่านวัตกรรมดี ๆ เหล่านี้จะได้รับการต่อยอดอย่างแน่นอน. เดลินิวส์ออนไลน์ วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2556
อ้างอิงจาก สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี http://siweb.dss.go.th/news/show_abstract.asp?article_ID=4614 Environmental object : ลดการใช้น้ำ Environmental data : การนำน้ำมาบำบัดและการใช้ยูเรียจากน้ำปัสสาวะมาทำปุ๋ย Metadata : การแปรสภาพยูเรียในนํ้าปัสสาวะให้เป็นแอมโมเนียไอออนทันทีที่นํ้าปัสสาวะมีค่าพีเอชเท่ากับ 9 ระบบก็จะส่งสัญญาณแจ้งว่า นํ้าปัสสาวะที่พักไว้มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการนำไปผลิตปุ๋ย เพียงเติมสารประกอบแมกนีเซียม และฟอสเฟตลงในนํ้าปัสสาวะที่เก็บไว้ ก็จะเกิดเป็นผลึกสตรูไวท์ ซึ่งผลึกดังกล่าวสามารถนำไปใช้แทนปุ๋ยยูเรียได้ นางสาวภัทราพร แม้นจันทร์ (ฝ้าย) |
วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ไอเดียเลิศโถปัสสาวะรีไซเคิล
วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556
นศ.อเมริกันทำหุ่นยนต์ “แมงกะพรุนยักษ์” หวังใช้สำรวจทะเล
นักศึกษาอเมริกันจากเวอร์จิเนียเทคพัฒนาหุนยนต์แมงกะพรุนยักษ์
ทั้งขนาดและน้ำหนักใกล้เคียงผู้ใหญ่ ตั้งเป้าใช้สำรวจมหาสมุทรในอนาคต
หุ่นยนต์แมงกะพรุนยักษ์ขนาดและน้ำหนักเท่าคนตัวใหญ่ โดยมีขนาดยาว 180 เซนติเมตร และหนัก 77 กิโลมตร เป็นผลงานของนักศึกษาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค (Virginia Tech School of Engineering) และมีชื่อเรียกว่า “ไซโร” (Cyro) ซึ่งทีมวิจัยคาดหวังว่าหุ่นยนต์อัตโนมัติที่ดูคล้ายมีชีวิตจริงนี้ จะถูกใช้เพื่อสำรวจมหาสมุทรต่อไปในอนาคต
ข้อมูลจากเวอร์จิเนียเทคระบุว่า หุ่นยนต์ดังกล่าวเป็นการต่อยอดหุ่นยนต์แมงกะพรุนขนาดเท่าฝ่ามือที่มี ชาแชงก์ พริยา (Shashank Priya) ศาสตราจารย์ทางด้านวิศวกรรมเครื่องกลจากเวอร์จิเนียเป็นหัวหอกในการพัฒนา โดยหุ่นยนต์แมงกะพรุนรุ่นก่อนหน้ามีชื่อว่า “โรโบเจลลี” (Robojelly) และมีขนาดประมาณแมงกะพรุนที่พบได้ตามชายหาด
อเลกซ์ วิลลานูวา (Alex Villanueva) นักศึกษาปริญญาเอกชาวแคนาดาด้านวิศวกรรมเครื่องกล ซึ่งอยู่ใต้สังกัดของพริยากล่าวว่า ขนาดหุ่นยนต์ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้บรรทุกของได้หนักขึ้น ทำงานได้ทนขึ้นและปฏิบัติการในพื้นที่ได้กว้างขึ้น อีกทั้งยังลดต้นทุน
ทั้งไซโรและโรโบเจลลีเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมูลค่า 150 ล้านบาทที่ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์การรบใต้ทะเลกองทัพเรือสหรัฐฯ (U.S. Naval Undersea Warfare Center) และสำนักงานการวิจัยกองทัพเรือสหรัฐฯ (Office of Naval Research) ซึ่งมีเป้าหมายที่จะนำเครื่องยนต์อัตโนมัติที่ให้พลังงานตัวเองได้ไปใช้ในทะเล เพื่องานเฝ้าระวังและตรวจตราสิ่งแวดล้อม อีกด้านก็เพื่อศึกษาสัตว์น้ำในทะเล ทำแผนที่พื้นผิวมหาสมุทร และตรวจตรากระแสน้ำในมหาสมุทร
ข้อมูลจากเวอร์จิเนียร์เทคยังบอกอีกว่า แมงกะพรุนกลายเป็นต้นแบบในการเลียนแบบ เนื่องจากความสามารถในการใช้พลังงานน้อย และมีอัตราเมตาบอลิซึม หรือการเผาพลาญพลังงานต่ำกว่าสัตว์ทะเลสปีชีส์อื่นๆ อีกทั้งยังมีแมงกะพรุนให้เห็นหลายขนาด หลายรูปร่างและหลากหลายสี ซึ่งช่วยให้ออกแบบได้หลากหลาย
แมงกะพรุนยังมีถิ่นอาศัยเป็นบริเวณกว้างในมหาสมุทรของโลกและยังทนต่อช่วงอุณหภูมิที่หลากหลาย ทั้งในน้ำจืด และน้ำเค็ม ส่วนมากเราพบแมงกะพรุนหลายๆ สปีชีส์ตามบริเวณชายฝั่ง แต่บางสปีชีส์ก็พบใต้ทะเลึก 7,000 เมตร
ทีมของพริยาได้สร้างโมเดลหุ่นแมงกะพรุนที่ผสานเข้ากับกลศาสตร์ของไหล และพัฒนาระบบควบคุม โดย “ไซโร” นั้นเป็นชื่อที่ย่อมาจาก “ไซยาเนีย” (cyanea) จากชื่อแมงกะพรุนสปีชีส์ไซยาเนีย คาพิลลาตา (cyanea capillata) และโรบอท (robot) แต่หุ่นยนต์ตัวที่สองนี้ก็ยังเป็นเพียงต้นแบบ และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะนำไปใช้จริงในทะเลได้ และต้นแบบตัวใหม่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา
วิลลานูวากล่าวว่า พวกเขาตั้งใจที่จะปรับปรุงหุ่นยนต์นี้ให้ดีขึ้นและลดการใช้พลังงานลง รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพในการว่ายน้ำให้ดีขึ้น รวมทั้งเลียนแบบสัณฐานของแมงกะพรุนในธรรมชาติให้ดีกว่านี้ด้วย
สำหรับไซโรนั้นใช้พลังงานแบตเตอรีนิกเกิลไฮไดรด์ ส่วนหุ่นยนต์แมงกะพรุนรุ่นก่อนหน้าใช้วิธีผูกสายโยงควบคุมการเคลื่อนที่ แต่อนาคตทีมวิจัยเล็งที่จะใช้พลังงานไฮโดรเจน แต่ยังต้องศึกษาวิจัยอีกมาก ซึ่งแหล่งพลังงานของหุ่นยนต์แมงกะพรุนนี้มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากในการใช้งานจริงพวกเขาต้องปล่อยให้หุ่นยนต์ทำงานไปเองอย่างอัตโนมัติ โดยไม่อาจจับขึ้นมาหรือซ่อมแซม รวมทั้งเปลี่ยนแหล่งพลังงานได้
“ไซโรได้แสดงให้เห็นว่ามันมีความสามารถที่จะว่ายน้ำได้อัตโนมัติ ขณะที่ยังคงลักษณะทางกายภาพ และจลนศาสตร์ได้เหมือนแมงกะพรุนในธรรมชาติ นอกจากนี้หุ่นยนต์ยังสามารถเลือกข้อมูล เก็บข้อมูล วิเคราะห์และส่งข้อมูลผ่านเซนเซอร์ได้ โดยเป็นการดำเนินการในสภาพน้ำตื้น แต่ก็เป็นการสาธิตที่สำคัญในการใช้สิ่งมีชีวิตชนิดนี้เป็นต้นแบบ” พริยากล่าว
ไซโรว่ายน้ำได้โดยมีโครงสร้างแข็งในตัวที่ต่อเข้ากับเครื่องยนต์จ่ายกระแสไฟฟ้า ซึ่งควบคุมแขนกลที่เชื่อมต่อกับมีโซเกลีย (mesoglea) หรือก้อนวุ้นของแมงกะพรุน ที่ทีมวิจัยสร้างจำลองขึ้นให้เหมือนของจริงแล้ว ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวจากการขับเคลื่อนด้วยของเหลว
โดยธรรมชาติแมงกะพรุนไม่มีระบบประสาทส่วนกลาง แต่ใช้ระบบประสาทแบบแพร่กระจาย (diffused nerve) ควบคุมการเคลื่อนไหวและการทำงานอันซับซ้อน ซึ่งมีการศึกษาคู่ขนานเกี่ยวระบบควบคุมการหายใจแบบชีวภาพ ที่กำลังดำเนินการและคาดว่าจะถูกนำมาใช้แบบระบบคอนโทรลเลอร์ในปัจจุบัน
ส่วนผิวของไซโรก็เป็นซิลิโคนหนาเลียนแบบผิวจริงของแมงกะพรุน และถูกนำไปวางเหนืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อหุ่นยนต์เคลื่อนที่ ผิวแมงกะพรุนจะลอยขึ้นและเคลื่อนที่ไปพร้อมกับเครื่องกล ทำให้หุ่นยนต์ดูคล้ายมีชีวิตจริงๆ
Virginia Tech: Autonomous Robotic Jellyfish from virginiatech on Vimeo.
ที่มา http://forum.khonkaenlink.info/index.php?PHPSESSID=olrm5f2dcifue36jfej3ih8ue1&topic=17053045.0 สืบค้นเมื่อวันที่ 28/6/2556
หุ่นยนต์แมงกะพรุนยักษ์ขนาดและน้ำหนักเท่าคนตัวใหญ่ โดยมีขนาดยาว 180 เซนติเมตร และหนัก 77 กิโลมตร เป็นผลงานของนักศึกษาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค (Virginia Tech School of Engineering) และมีชื่อเรียกว่า “ไซโร” (Cyro) ซึ่งทีมวิจัยคาดหวังว่าหุ่นยนต์อัตโนมัติที่ดูคล้ายมีชีวิตจริงนี้ จะถูกใช้เพื่อสำรวจมหาสมุทรต่อไปในอนาคต
ข้อมูลจากเวอร์จิเนียเทคระบุว่า หุ่นยนต์ดังกล่าวเป็นการต่อยอดหุ่นยนต์แมงกะพรุนขนาดเท่าฝ่ามือที่มี ชาแชงก์ พริยา (Shashank Priya) ศาสตราจารย์ทางด้านวิศวกรรมเครื่องกลจากเวอร์จิเนียเป็นหัวหอกในการพัฒนา โดยหุ่นยนต์แมงกะพรุนรุ่นก่อนหน้ามีชื่อว่า “โรโบเจลลี” (Robojelly) และมีขนาดประมาณแมงกะพรุนที่พบได้ตามชายหาด
อเลกซ์ วิลลานูวา (Alex Villanueva) นักศึกษาปริญญาเอกชาวแคนาดาด้านวิศวกรรมเครื่องกล ซึ่งอยู่ใต้สังกัดของพริยากล่าวว่า ขนาดหุ่นยนต์ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้บรรทุกของได้หนักขึ้น ทำงานได้ทนขึ้นและปฏิบัติการในพื้นที่ได้กว้างขึ้น อีกทั้งยังลดต้นทุน
ทั้งไซโรและโรโบเจลลีเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมูลค่า 150 ล้านบาทที่ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์การรบใต้ทะเลกองทัพเรือสหรัฐฯ (U.S. Naval Undersea Warfare Center) และสำนักงานการวิจัยกองทัพเรือสหรัฐฯ (Office of Naval Research) ซึ่งมีเป้าหมายที่จะนำเครื่องยนต์อัตโนมัติที่ให้พลังงานตัวเองได้ไปใช้ในทะเล เพื่องานเฝ้าระวังและตรวจตราสิ่งแวดล้อม อีกด้านก็เพื่อศึกษาสัตว์น้ำในทะเล ทำแผนที่พื้นผิวมหาสมุทร และตรวจตรากระแสน้ำในมหาสมุทร
ข้อมูลจากเวอร์จิเนียร์เทคยังบอกอีกว่า แมงกะพรุนกลายเป็นต้นแบบในการเลียนแบบ เนื่องจากความสามารถในการใช้พลังงานน้อย และมีอัตราเมตาบอลิซึม หรือการเผาพลาญพลังงานต่ำกว่าสัตว์ทะเลสปีชีส์อื่นๆ อีกทั้งยังมีแมงกะพรุนให้เห็นหลายขนาด หลายรูปร่างและหลากหลายสี ซึ่งช่วยให้ออกแบบได้หลากหลาย
แมงกะพรุนยังมีถิ่นอาศัยเป็นบริเวณกว้างในมหาสมุทรของโลกและยังทนต่อช่วงอุณหภูมิที่หลากหลาย ทั้งในน้ำจืด และน้ำเค็ม ส่วนมากเราพบแมงกะพรุนหลายๆ สปีชีส์ตามบริเวณชายฝั่ง แต่บางสปีชีส์ก็พบใต้ทะเลึก 7,000 เมตร
ทีมของพริยาได้สร้างโมเดลหุ่นแมงกะพรุนที่ผสานเข้ากับกลศาสตร์ของไหล และพัฒนาระบบควบคุม โดย “ไซโร” นั้นเป็นชื่อที่ย่อมาจาก “ไซยาเนีย” (cyanea) จากชื่อแมงกะพรุนสปีชีส์ไซยาเนีย คาพิลลาตา (cyanea capillata) และโรบอท (robot) แต่หุ่นยนต์ตัวที่สองนี้ก็ยังเป็นเพียงต้นแบบ และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะนำไปใช้จริงในทะเลได้ และต้นแบบตัวใหม่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา
วิลลานูวากล่าวว่า พวกเขาตั้งใจที่จะปรับปรุงหุ่นยนต์นี้ให้ดีขึ้นและลดการใช้พลังงานลง รวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพในการว่ายน้ำให้ดีขึ้น รวมทั้งเลียนแบบสัณฐานของแมงกะพรุนในธรรมชาติให้ดีกว่านี้ด้วย
สำหรับไซโรนั้นใช้พลังงานแบตเตอรีนิกเกิลไฮไดรด์ ส่วนหุ่นยนต์แมงกะพรุนรุ่นก่อนหน้าใช้วิธีผูกสายโยงควบคุมการเคลื่อนที่ แต่อนาคตทีมวิจัยเล็งที่จะใช้พลังงานไฮโดรเจน แต่ยังต้องศึกษาวิจัยอีกมาก ซึ่งแหล่งพลังงานของหุ่นยนต์แมงกะพรุนนี้มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากในการใช้งานจริงพวกเขาต้องปล่อยให้หุ่นยนต์ทำงานไปเองอย่างอัตโนมัติ โดยไม่อาจจับขึ้นมาหรือซ่อมแซม รวมทั้งเปลี่ยนแหล่งพลังงานได้
“ไซโรได้แสดงให้เห็นว่ามันมีความสามารถที่จะว่ายน้ำได้อัตโนมัติ ขณะที่ยังคงลักษณะทางกายภาพ และจลนศาสตร์ได้เหมือนแมงกะพรุนในธรรมชาติ นอกจากนี้หุ่นยนต์ยังสามารถเลือกข้อมูล เก็บข้อมูล วิเคราะห์และส่งข้อมูลผ่านเซนเซอร์ได้ โดยเป็นการดำเนินการในสภาพน้ำตื้น แต่ก็เป็นการสาธิตที่สำคัญในการใช้สิ่งมีชีวิตชนิดนี้เป็นต้นแบบ” พริยากล่าว
ไซโรว่ายน้ำได้โดยมีโครงสร้างแข็งในตัวที่ต่อเข้ากับเครื่องยนต์จ่ายกระแสไฟฟ้า ซึ่งควบคุมแขนกลที่เชื่อมต่อกับมีโซเกลีย (mesoglea) หรือก้อนวุ้นของแมงกะพรุน ที่ทีมวิจัยสร้างจำลองขึ้นให้เหมือนของจริงแล้ว ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวจากการขับเคลื่อนด้วยของเหลว
โดยธรรมชาติแมงกะพรุนไม่มีระบบประสาทส่วนกลาง แต่ใช้ระบบประสาทแบบแพร่กระจาย (diffused nerve) ควบคุมการเคลื่อนไหวและการทำงานอันซับซ้อน ซึ่งมีการศึกษาคู่ขนานเกี่ยวระบบควบคุมการหายใจแบบชีวภาพ ที่กำลังดำเนินการและคาดว่าจะถูกนำมาใช้แบบระบบคอนโทรลเลอร์ในปัจจุบัน
ส่วนผิวของไซโรก็เป็นซิลิโคนหนาเลียนแบบผิวจริงของแมงกะพรุน และถูกนำไปวางเหนืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เมื่อหุ่นยนต์เคลื่อนที่ ผิวแมงกะพรุนจะลอยขึ้นและเคลื่อนที่ไปพร้อมกับเครื่องกล ทำให้หุ่นยนต์ดูคล้ายมีชีวิตจริงๆ
Virginia Tech: Autonomous Robotic Jellyfish from virginiatech on Vimeo.
ที่มา http://forum.khonkaenlink.info/index.php?PHPSESSID=olrm5f2dcifue36jfej3ih8ue1&topic=17053045.0 สืบค้นเมื่อวันที่ 28/6/2556
- Environmental Object คือ หุ่นยนต์สำรวจสิ่งแวดล้อมในทะเล
- Environmental Data คือ เฝ้าระวังและตรวจตราสิ่งแวดล้อม และเพื่อศึกษาสัตว์น้ำในทะเล ทำแผนที่พื้นผิวมหาสมุทร
และตรวจตรากระแสน้ำในมหาสมุทร
- Metadata คือ สามารถเลือกข้อมูล เก็บข้อมูล วิเคราะห์และส่งข้อมูลผ่านเซนเซอร์ได้
วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556
"ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าระยะไกล"...เพื่อชีวิตอิสระสำหรับผู้พิการ
ผู้ทุพพลภาพยิ้มออกด้วยผลงานชิ้นเด็ดจาก มจธ.
ส่งอุปกรณ์ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าระยะไกล สั่งงานจากสัญญาณกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า
ตอบโจทย์การใช้งานแม้ในผู้พิการที่ไม่สามารถขยับตัวได้ตั้งแต่ไหล่ขึ้นไป
พร้อมรายงานภาพฉุกเฉินเมื่อต้องการความช่วยเหลือ
ผู้พิการ ทุพพลภาพ สถานะที่ไม่มีใครอยากเป็น
แต่ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการดำเนินชีวิตของผู้พิการทางร่างกายในหลายรูปแบบ
และนักศึกษากลุ่มหนึ่งจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.)
ที่มองเห็นถึงความต้องการของผู้พิการจึงร่วมกันพัฒนาผลงาน “ชุดควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าระยะไกล
โดยใช้สวิตช์ตัวเดียวสำหรับการดำรงชีวิตอิสระเพื่อผู้ทุพพลภาพ”
3 นักศึกษา
“แบงค์” สพณ พิทักษ์ “สนุ้กเกอร์” สุพัทธ์ พยัพพฤกษ์ และ “แชมป์” ปฤษฎา เชื้อใจ นักศึกษาชั้นปีที่
3 ภาควิชาวิศวกรรมระบบควบคุมและเครื่องมือวัด
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ.
เจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งระดับประเทศ ในกลุ่มสิ่งประดิษฐ์ทางด้านการแพทย์สำหรับผู้ทุพพลภาพและด้อยโอกาส
ในการประกวด “วันนักประดิษฐ์” ประจำปี 2556
จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดย ”แบงค์” กล่าวว่า
ผลงานชิ้นนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดสำหรับผู้ที่มีความพิการมากกว่าเดิมให้สามารถใช้งานได้
ผลงานนี้ทำงานด้วยระบบสแกนซึ่งเดิมถูกสร้างขึ้นเพื่อผู้พิการที่ยังสามารถใช้แขนได้และใช้มือในการกดสวิตช์ได้
แต่พวกเรานำมาพัฒนาต่อให้มีความพิเศษมากขึ้น
ครอบคลุมถึงผู้พิการที่ไม่สามารถขยับตัวได้ตั้งแต่ไหล่ขึ้นไป
หรือผู้พิการที่ไม่มีมือ ไม่มีเท้า โดยปรับเพิ่มฟังก์ชันก์พิเศษอุปกรณ์วัดสัญญาณกล้ามเนื้อเข้าไป
ซึ่งจะใช้วัดสัญญาณการเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า หน้าผาก หรือคิ้ว
ซึ่งในชุดอุปกรณ์ทั้งหมดประกอบไปด้วย
เครื่องวัดสัญญาณกล้ามเนื้อที่ติดกับแถบคาดศีรษะ
และกล่องบรรจุแผงวงจรสำหรับการทำงานอีกสี่กล่องคือ กล่องควบคุมกลางหนึ่งกล่อง
กล่องควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าสองกล่อง และกล่องสำคัญที่สุดคือกล่อง Emergency
“สนุ้กเกอร์”
สมาชิกอีกคนในทีมอธิบายถึงวิธีการทำงานว่า
อุปกรณ์นี้ใช้ระบบสแกนในการควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งสามารถควบคุมได้สูงสุด
16 เครื่องภายในห้องเดียวกัน ซึ่งสามารถตั้งในตำแหน่งใดก็ได้เพราะเป็นอุปกรณ์ควบคุมระยะไกลสูงสุดถึง
100 เมตร
โดยเมื่อมีสัญญาณการเกร็งกล้ามเนื้อไม่ว่าจากการขยับคิ้วหรือส่วนอื่นบนใบหน้าเกิดขึ้นจากผู้ป่วย
ระบบสแกนในกล่องควบคุมจะทำการไล่รหัส (address) ของเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อผู้ป่วยต้องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดใดก็สั่งการด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อ
ซึ่งจะเป็นการสั่งเปิดหรือปิดนั้นขึ้นอยู่กับสถานะเดิมของเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น
“การทำงานของกล่อง
Emergency ซึ่งกล่องนี้มีความพิเศษตรงที่มีกล้องวงจรคอยจับภาพในห้องที่ผู้ป่วยอยู่ตลอดเวลา
ที่เราพัฒนาขึ้นมานั้นหากเมื่อใดก็ตามที่ผู้ป่วยเลือกใช้กล่องนี้แสดงว่าผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือ
ซึ่งระบบจะทำการส่งสัญญาณภาพเข้าสู่อีเมล์ของผู้ดูแลหรือญาติทันทีซึ่งสามารถเปิดดูภาพจากกล้องวิดีโอที่ติดตั้งภายในห้องผ่านทางสมาร์ทโฟนทันทีที่มีสัญญาณเตือนว่ามีอีเมลเข้า
ซึ่งจะได้เข้าช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที” แชมป์กล่าว
ด้าน ดร.ศราวัณ วงษา
อาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษากลุ่มนี้กล่าวเพิ่มเติมว่า
การทำงานของอุปกรณ์นั้นมีปัญหาคือสัญญาณการเกร็งกล้ามเนื้อที่ใช้ในการสั่งงานกล่องเครื่องมือของผู้ป่วยแต่ละคนนั้นไม่เท่ากันซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาว่าอุปกรณ์จะไม่ทำงานสำหรับการสั่งงานจากบางคน
แต่อย่างไรก็ตามนักศึกษากลุ่มนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยเพิ่มฟังก์ชันการตั้งค่าอ้างอิงซึ่งได้มาจากการบันทึกค่าสัญญาณการทำงานของกล้ามเนื้อในขณะผ่อนคลายและในขณะเกร็งสั่งการ
ทำให้สามารถรองรับการสั่งงานได้กับทุกคน
อย่างไรก็ตาม “แชมป์” ทิ้งท้ายว่า
อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมานั้นยังเป็นชุดต้นแบบซึ่งจะทำการพัฒนาต่อให้มีความเสถียรมากยิ่งขึ้นและจะนำไปติดตั้งที่โรงพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์โดยตรงและหากผลเป็นที่น่าพอใจอาจมีการขยายผลงานให้ผู้ป่วยนำกลับไปใช้ที่บ้านและเข้าสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป
แต่ประโยชน์สูงสุดของผลงานนี้คือคุณค่าทางจิตใจที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยไม่ต้องคิดว่าตนเองต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดเวลา
อ้างอิงจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.).มจธ.เอาใจ "ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าระยะไกล"...เพื่อชีวิตอิสระสำหรับผู้พิการ
[อินเทอร์เน็ต].2556[เข้าถึงเมื่อ 25 มิ.ย. 2556]เข้าถึงได้จาก http://news.thaipbs.or.th/content/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3
ข้อคิดเห็น
ข้อคิดเห็น
- Environmental Object คือ อุปกรณ์ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าระยะไกล
- Environmental Data คือ เครื่องวัดสัญญาณกล้ามเนื้อที่ติดกับแถบคาดศีรษะ และกล่องบรรจุแผงวงจรสำหรับการทำงานอีกสี่กล่องคือ กล่องควบคุมกลางหนึ่งกล่อง กล่องควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าสองกล่อง และกล่องสำคัญที่สุดคือกล่อง Emergency สัญญาณการเกร็งกล้ามเนื้อไม่ว่าจากการขยับคิ้วหรือส่วนอื่นบนใบหน้าเกิดขึ้นจากผู้ป่วย
- Metadata คือ การส่งสัญญาณภาพเข้าสู่อีเมล์ ซึ่งสามารถเปิดดูภาพจากกล้องวิดีโอที่ติดตั้งภายในห้องผ่านทางสมาร์ทโฟนทันที
อรไพลิน พรหมพันธกรณ์ (บีม)
มจธ.เอาใจ “Petlover” สั่งงานผ่านทางเว็บไซต์ ให้อาหารสัตว์ได้แล้ว
อ้างอิงจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.).มจธ.เอาใจ “Petlover” สั่งงานผ่านทางเว็บไซต์ ให้อาหารสัตว์ได้แล้ว[อินเทอร์เน็ต].2556[เข้าถึงเมื่อ 25 มิ.ย. 2556]เข้าถึงได้จาก http://news.thaipbs.or.th/content/%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88-%E2%80%9Cpetlover%E2%80%9D-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%95%E0%B9%8C-%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7
ข้อคิดเห็น
- Environmental Object คือ โปรแกรมสั่งการให้อาหารผ่านทางเว็บไซต์
- Environmental Data คือ ผู้ใช้งานตั้งโปรแกรมให้เครื่องทำงานตามกำหนด
- Metadata คือ ให้อาหารสัตว์เลี้ยงผ่านทางอินเตอร์เน็ต
อรไพลิน พรหมพันธกรณ์ (บีม)
วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Micro Air Vehicle (MAV) ยานบินสอดแนมขนาดจิ๋ว
กองทัพสหรัฐฯ ทุ่มเทเงินจำนวนมหาศาลเพื่อลดขนาดเครื่องบินสอดแนม และกำลังพัฒนาเครื่องบินขนาดจิ๋วซึ่งปัจจุบันออกมาเป็นฝูงบินสายลับขนาดเท่าแมลง
จากแหล่งข่าวทางอินเทอร์เน็ตหลายแห่งระบุว่า ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮ๊อพกินส์ ร่วมกับสำนักงานเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ฐานทัพอากาศไรท์-แพทเทอร์สัน ในอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย กำลังช่วยกันพัฒนาสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ยานบินขนาดจิ๋ว (Micro Aerial Vehicle – MAV) ที่จะปฏิบัติงานการจารกรรมข้อมูลต่างๆ
จากแหล่งข่าวทางอินเทอร์เน็ตหลายแห่งระบุว่า ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮ๊อพกินส์ ร่วมกับสำนักงานเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ฐานทัพอากาศไรท์-แพทเทอร์สัน ในอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย กำลังช่วยกันพัฒนาสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ยานบินขนาดจิ๋ว (Micro Aerial Vehicle – MAV) ที่จะปฏิบัติงานการจารกรรมข้อมูลต่างๆ
หุ่นยนต์แมลงสามารถแทรกซึมเข้าไปในเขตเมืองที่มีตึกและประชาชนหนาแน่นได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับลมและอุปสรรคอื่นๆ ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ที่ทำให้มันทำงานไม่ได้ผล
มันสามารถควบคุมได้จากระยะห่างไกลมากและประกอบด้วยกล้องหนึ่งตัวและไมโครโฟนฝังในหนึ่งตัว
อุปกรณ์ใหม่นี้สามารถลงจอดบนผิวหนังของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ ใช้เข็มขนาดจิ๋วเพื่อเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอและบินออกไปอีกครั้งด้วยความเร็ว โดยที่เป้าหมายจะรู้สึกเหมือนถูกยุงกัดโดยไม่มีรู้สึกร้อนและบวมแต่อย่างใด
เครื่องบินสอดแนมที่ตรวจจับได้ยากนี้สามารถฝังไมโครชิพระบบชี้เฉพาะด้วยคลื่นความถี่วิทยุ(RFID) ไว้ใต้ผิวหนัง และสามารถใช้เพื่อฉีดสารพิษเข้าสู่ร่างกายของศัตรูในระหว่างสงครามได้ด้วย
เมื่อช่วงต้นปี 2007 รัฐบาลสหรัฐฯ ถูกกล่าวหาว่ากำลังพัฒนาหุ่นยนต์แมลงสายลับเมื่อผู้ประท้วงต่อต้านสงครามในสหรัฐฯ เห็นวัตถุบินได้บางอย่างที่คล้ายกับแมลงปอหรือเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กบินโฉบอยู่เหนือพวกเขา
สหรัฐฯ ไม่ใช่ปรเทศเดียวที่กำลังย่อขนาดเครื่องบินสอดแนมที่เลียนแบบธรรมชาติ ฝรั่งเศส,เนเธอร์แลนด์ และอิสราเอลก็กำลังพัฒนาอุปกรณ์ที่คล้ายกันนี้ด้วยเช่นกัน
ฝรั่งเศสพัฒนาเครื่องบินสอดแนมขนาดจิ๋วเลียนแบบแมลงกระพือปีก ส่วนเนเธอร์แลนด์ได้สร้างเครื่องบินสอดแนม Parrot AR ด้วยเช่นกัน
ฝรั่งเศสพัฒนาเครื่องบินสอดแนมขนาดจิ๋วเลียนแบบแมลงกระพือปีก ส่วนเนเธอร์แลนด์ได้สร้างเครื่องบินสอดแนม Parrot AR ด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมการบินอวกาศของอิสราเอล (Israel Aerospace Industries – IAI) ได้ผลิตเครื่องบินสอดแนมรูปทรงผีเสื้อ ที่มีน้ำหนักเพียง 20 กรัม ซึ่งสามารถเก็บข่าวภายในอาคารได้
เครื่องบินสอดแนมแมลงนี้ มีกล้องขนาด 0.15 กรัม และการ์ดความจำ ที่ควบคุมระยะไกลด้วยหมวกพิเศษ เมื่อสวมหมวกนี้แล้ว ผู้ควบคุมจะพบว่าตัวเองอยู่ในส่วนหัวของผีเสื้อ และมองเห็นสิ่งที่ผีเสื้อมองเห็นในขณะนั้นได้เหมือนจริง
เครื่องบินสอดแนมแมลงนี้ มีกล้องขนาด 0.15 กรัม และการ์ดความจำ ที่ควบคุมระยะไกลด้วยหมวกพิเศษ เมื่อสวมหมวกนี้แล้ว ผู้ควบคุมจะพบว่าตัวเองอยู่ในส่วนหัวของผีเสื้อ และมองเห็นสิ่งที่ผีเสื้อมองเห็นในขณะนั้นได้เหมือนจริง
อ้างอิง
ยานบินสอดแนมขนาดจิ๋ว[ออนไลน์].เข้าถึงเมื่อ 24-06-2013.เข้าถึงได้จาก http://unigang.com/Article/13892
ข้อคิดเห็น
Environmental Object คือ ยานบินสอดแนมขนาดจิ๋ว
Environmental Data คือ ข้อมูลที่ยานบินสอดแนมขนาดจิ๋วบันทึกไว้
Metadata คือ ข้อมูลที่แปรผลมาจากยานบินสอดแนมขนาดจิ๋ว
ธนาภา นิลวิเชียร (แฟม)
5415021ITS เทคโนโลยีปฏิรูปการเดินทาง ลดอุบัติเหตุ แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด และปัญหาสิ่งแวดล้อม
การพัฒนาเทคโนโลยี นับเป็นความก้าวหน้าของมนุษย์ในการนำเอาความรู้ในหลายๆ ด้าน มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและพัฒนาความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทาง ก็เป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งของการใช้ความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะศาสตร์ด้านอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์มาใช้ เพื่อช่วยให้ประชาชนและสังคม สามารถเข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ หรือ ITS - Intelligent Transport Systems เป็นระบบที่หลอมรวมเอาเทคโนโลยีด้านข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ และ โทรคมนาคม มาผสมผสานให้เกิดการประยุกต์ใช้งาน เช่น เทคโนโลยีประมวลผลภาพ (Image Processing) เทคโนโลยีการระบุตัวตนด้วยความถี่คลื่นวิทยุ(RFID) เทคโนโลยี การสื่อสารไร้สาย(Wireless Communication) เทคโนโลยีรู้จำเสียง (Voice Recognition) เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) เทคโนโลยีคลังข้อมูล (Data Mining) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Data Warehouse) เทคโนโลยีตรวจจับหรือรับรู้(Sensor) เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง การควบคุม การติดตาม รวมไปถึงความปลอดภัยในการเดินทาง ด้วยเทคโนโลยีอันชาญฉลาดเหล่านี้ จะสามารถบริหารจัดการการจราจรให้เป็นระบบ และตอบสนองต่อความจำเป็นของการขนส่งและเดินทางในประเทศได้ในระดับหนึ่ง เช่น ช่วยลดอุบัติเหตุ แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด และปัญหาสิ่งแวดล้อม
องค์ประกอบของ ITS
ITS ไม่ใช่ชื่อของเทคโนโลยีโดยตรงแต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกแนวคิดของการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และโทรคมนาคม มาใช้ปรับปรุงการขนส่งและการจราจร โดยมีหัวใจหลักสำคัญคือการประมวลผลข้อมูลและข้อสนเทศที่มีอยู่ผ่านระบบสารสนเทศและการสื่อสาร และนำมาเผยแพร่ แลกเปลี่ยน ระหว่างผู้ใช้และผู้ให้บริการ
ส่วนระบบอัจฉริยะ นั้นเป็นการใช้คำเชิงเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีที่มีมาก่อนหน้า ยกตัวอย่าง เช่น หากรถยนต์มีอุปกรณ์ ที่สามารถสื่อสารและรับข้อมูลปริมาณการจราจรเพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำแก่ผู้ขับขี่ได้ว่า เส้นทางใดเป็นเส้นทางที่เหมาะสมสำหรับเวลานั้น ต่างจากเดิมที่ผู้ขับจะต้องตัดสินเอง โดยไม่มีข้อมูลหรือคำแนะนำใดๆ มาช่วยตัดสินใจเลย ความสามารถของระบบ ที่เพิ่มขึ้นนี้ถือได้ว่า มีความอัจฉริยะ ความอัจฉริยะของยานพาหนะและระบบขนส่งที่กล่าวมานั้นอาจก้าวหน้าถึงขั้นเข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์ เช่น รถยนต์สามารถขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติและติดต่อสื่อสารระหว่างรถยนต์กันได้เอง ตลอดจนติดต่อสื่อสารกับศูนย์ข้อมูลจราจรเพื่อสอบถามข้อมูล ปริมาณการจราจร จุดเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือจุดที่มีการก่อสร้าง เพื่อวิเคราะห์และเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทาง รวมถึงรายงานสภาพการณ์บนท้องถนน การติดตามรถ หรือระบบจัดเก็บค่าผ่านทางโดยอัตโนมัติ
ปัจจุบัน ITS เน้นไปที่การขนส่งและจราจรบนถนนเป็นหลักเนื่องจากเป็นประเภทการเดินทางที่เกิดขึ้นมากที่สุด และยังกระทบกับประชาชนจำนวนมาก บทความนี้ได้นำเอาการแบ่งประเภทของการนำเอา ITS มาใช้ในงานด้านขนส่งและจราจรของประเทศญี่ปุ่นมาดัดแปลง โดยแบ่งออกเป็นแปดด้านดังนี้
1. ระบบนำทางขั้นก้าวหน้า (Advances in Navigation Systems) ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่ มีความสะดวกสบายในการเดินทาง เพราะผู้ขับขี่สามารถทราบข้อมูลในรูปของเส้นทางบนแผนที่ ซึ่งจะแสดงเส้นทางจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดปลายทาง เช่น ข้อมูลสถานที่จอดรถ ที่พักอาศัย เส้นทางที่มีการก่อสร้าง รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับจุดหมายปลายทาง นอกจากการแสดงแผนที่แล้ว ระบบนำทางดังกล่าว ยังสามารถพัฒนาให้แนะนำเส้นทางการขับขี่อย่างละเอียดโดยมีคำแนะนำเป็นเสียงพูด เช่น เตือนให้เปลี่ยนเลนเพื่อเตรียมเลี้ยวซ้ายหรือขวา เตือนให้เตรียมตัวกลับรถ การบอกทางเพื่อให้กลับสู่เส้นทางเดิมกรณีขับขี่ผิดทาง การพัฒนาขั้นต่อไปของระบบนี้ อาจถึงขั้นแนะนำข้อมูลประกอบการขับขี่อื่นๆ เช่น เสียงเตือนให้ลดอัตราเร็วเนื่องจากข้างหน้าเป็นทางโค้ง และอนาคตอาจสามารถเชื่อมต่อข้อมูลการจราจรกับศูนย์ข้อมูลจราจร จนทำให้ระบบสามารถทำงานได้หลากหลาย คือ แนะนำเส้นทางที่มีการจราจรเบาบางได้ หรือแนะแนะให้หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นโดยที่ผู้ขับขี่ยังไม่ได้เดินทางไปถึงบริเวณดังกล่าว ให้ข้อมูลเส้นทางที่มีการก่อสร้าง ปิดถนน หรืออุบัติเหตุให้ข้อมูลเกี่ยวกับจุดสนใจหรือสถานที่แวะพักต่างๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ที่จอดรถ คำนวณระยะเวลาเดินทางที่สอดคล้องตามสภาพการจราจร จะเห็นได้ว่าการแนะนำ เส้นทางจะมิได้อยู่บนพื้นฐานเส้นทางที่มีระยะทางสั้นที่สุดเพียงเงื่อนไขเดียว แต่จะเป็นการรวมเอาเงื่อนไขต่างๆ เข้ามาคำนวณร่วมด้วย เพื่อให้ได้เส้นทางที่ใกล้กับความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด และระบบยังสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่น่าสนใจรอบข้างทางและ จุดหมายปลายทาง รวมทั้งแนะนำให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่จอดรถเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ขับขี่อีกด้วย
2. ระบบเก็บเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Toll Collection) ระบบนี้จะช่วยผู้เดินทางไม่ต้องหยุดรถหรือชะลอรถเพื่อจ่ายค่าผ่านทาง ช่วยลดระยะเวลาและแก้ปัญหาจราจรที่ด่านเก็บเงิน และช่วยอำนวยความสะดวกในการผ่าน เข้าออกพื้นที่ควบคุม หรือเส้นทางพิเศษบางประเภท เพื่อให้การผ่านเข้าออกสามารถทำได้สะดวกรวดเร็ว หลักการทำงานของระบบนี้คืออุปกรณ์ที่ติดกับ ตัวรถจะสื่อสารกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดอยู่ที่ด่านหรือจุดเฉพาะสำหรับตรวจสอบการเข้าออกพื้นที่ควบคุมหรือเส้นทางพิเศษ การสื่อสารจะทำโดยอาศัยเทคนิคการสื่อสารแบบไร้สาย และรถยนต์สามารถวิ่งผ่านไปมาได้โดยไม่ต้องหยุดจอดรอเพื่อชำระค่าผ่านทาง การชำระเงินอาจเป็นลักษณะซื้อบัตรและชำระล่วงหน้า แล้วทำการตัดค่าผ่านทางจากยอดเงินที่มีในบัตร หรืออาจเป็นการตัดค่าผ่านทางจากระบบบัตรเครดิต บัญชีธนาคาร หรือชำระตามร้านสะดวกซื้อ ตัวอย่างของประเทศที่ใช้ระบบนี้ เช่น ที่เมืองลอนดอนในประเทศอังกฤษซึ่งมีปริมาณการจราจรหนาแน่นมาก ได้มีการกำหนดให้เรียกเก็บค่าเข้าพื้นที่สำหรับผู้ที่ต้องการนำรถยนต์เข้าในบริเวณพื้นที่เมืองชั้นใน ทั้งนี้เพื่อลดความคับคั่งของปริมาณจราจรตลอดจนมลภาวะลงหรือในประเทศออสเตรเลียและจีน ได้มีการติดตั้งระบบเก็บเงินอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว ไว้ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางของทางด่วน ทำให้รถยนต์ที่วิ่งผ่านสามารถวิ่งผ่านด้วยความเร็วสูง และการใช้ทางด่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ระบบช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่ (Assistance for Safe Driving) เป็นระบบที่มีการติดตั้งตัวเก็บข้อมูลในบริเวณต่างๆ บนท้องถนนโดยการรวบรวมข้อมูลของตำแหน่ง และการเคลื่อนที่ของยานพาหนะในบริเวณรอบๆ รวมไปถึงสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่อยู่ข้างหน้า โดยผ่านเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งอยู่บนถนนและที่ตัวรถ หลังจากนั้นข้อมูลจะถูกจัดส่งให้กับผู้ขับขี่รถแต่ละคนในขณะนั้นแบบ Real Time ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ขับขี่เดินทางได้อย่างปลอดภัย ระบบดังกล่าว นอกจากจะช่วยให้ผู้ขับขี่ได้รับข้อมูลหรือการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่แล้ว ยังนำมาใช้เพื่อรักษาชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลอื่นด้วย เช่น การมีเซ็นเซอร์ตรวจจับคนข้ามถนน ในบริเวณทางโค้งหักศอกที่เป็นมุมอับสายตาสำหรับผู้ขับขี่ หรือตรวจจับและระวังการวิ่งตัดหน้ารถโดยเด็กเล็กหรือผู้ที่ขาดความระมัดระวัง นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับรถยนต์หรือจักรยานยนต์ที่วิ่งหรือกำลังจะวิ่งมาตัดหน้า ตรวจจับสภาพอากาศและสภาพถนน เพื่อเตือนในกรณีที่ถนนลื่น หรือทัศนวิสัยไม่ดีก่อนที่จะขับขี่ไปถึงบริเวณดังกล่าว ในอนาคตอันใกล้อาจมีอุปกรณ์ที่ติดตั้งภายในรถเพิ่มเติมเพื่อช่วยในการควบคุมรถ เช่น ระบบช่วยเบรคหรือควบคุมพวงมาลัยแบบอัตโนมัติ เมื่อพบสิ่งกีดขวาง และเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ใน ตัวรถยนต์ ก็สามารถส่งข้อมูลและติดต่อสื่อสารกับรถยนต์คันอื่นๆ หรือกับเซ็นเซอร์ข้างถนนได้ด้วย ทั้งนี้เพื่อเตือนให้รถยนต์หรือผู้ใช้ทางเท้าได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรือเพื่อให้เกิดความระมัดระวังเพิ่มขึ้น
4.ระบบการบริหารจัดการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ (Optimization of Traffic Management) ระบบนี้จะจัดการการจราจรบริเวณทางแยก หรือบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ โดยผู้ให้บริการแจ้งเหตุการณ์ เช่น การตรวจจับ อุบัติเหตุ และให้ข้อมูลการควบคุม การจราจร นอกจากนี้ยังแนะนำเส้นทาง แก่ผู้ขับขี่ผ่านมอนิเตอร์ที่ติดตั้งในรถ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการควบคุมการจราจร ไม่เพียงแต่ ในพื้นที่ ที่มีการจราจรที่ติดขัดเท่านั้นแต่รวมถึงเส้นทางการจราจรทั้งหมด ได้มีการคาดการณ์กันว่า เมื่อการเชื่อมต่อและสื่อสารแบบ สองทาง ระหว่างผู้เดินทางและศูนย์บริหารจัดการจราจรเกิดขึ้นในวงกว้างแล้ว จะสามารถสื่อสารกันแบบสองทางได้อย่างสะดวก ทั้งในรถยนต์ ที่บ้าน ที่ทำงาน หรือผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่นโทรศัพท์มือถือ โดยศูนย์บริหารจัดการจราจรจะนำเอาข้อมูลความต้องการเดินทางของผู้เดินทางมาคำนวณวิเคราะห์เพื่อการกระจายปริมาณการจราจรออกไป เพื่อให้ระบบขนส่งโดยรวมมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยจะเป็นการแนะนำเส้นทางที่ไม่ใช่การแนะนำให้ทุกคนเลือกใช้เส้นทางที่เบาบางในขณะนั้นเหมือนกันหมด นอกจากนี้ยังสามารถแนะนำให้หลีกเลี่ยงเส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุ มีการก่อสร้าง หรือมีการปิดถนนได้ด้วย
5. การสนับสนุนระบบขนส่งมวลชนหรือขนส่งสาธารณะ (Support for Public Transport) เป็นการอำนวยความสะดวกสบายให้ผู้ใช้บริการระบบขนส่งมวลชน ให้เกิดความยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนถ่าย การเข้าและออกจากระบบขนส่งมวลชนตามเวลาที่สอดคล้องกัน ระบบสนับสนุนต่างๆ จึงมีความจำเป็น เช่น สถานะการให้บริการของระบบขนส่งมวลชนประเภทต่างๆ ตำแหน่งและจำนวนที่นั่งว่าง ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และที่จอดรถ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้สามารถส่งผ่านไปยังช่องทางต่างๆ หลายช่องทาง ได้แก่ ที่พักอาศัยและที่ทำงาน อุปกรณ์ในรถยนต์หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ ตลอดจนจุดติดตั้งข้างถนน ป้ายหยุดรถประจำทาง และสถานีขนส่ง เพื่อให้ผู้เดินทางสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและนำมาซึ่งการใช้งานระบบขนส่งมวลชนอย่างสะดวกและปลอดภัย
6. การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการเกี่ยวกับรถเพื่อการพาณิชย์ (Increasing Efficiency in Commercial Vehicles Operations) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการขนส่งสินค้า ต้องมีศูนย์รวบรวมและจัดเก็บสถานะการใช้งานรถขนส่งสินค้าทั้งหมด เช่น ตำแหน่งของรถขนส่งในระหว่างขนส่ง จุดแวะพักหรือขนถ่ายสินค้า จุดเริ่มต้นและจุดปลายทาง แล้วกระจายข้อมูลเหล่านี้ในฐานะข้อมูลพื้นฐานให้กับผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทุกราย นอกจากนี้ยังดำเนินการจัดหาระบบช่วยบริหารจัดการรถขนส่งสินค้าระหว่างผู้ประกอบการขนส่งหลายๆ ราย โดยมองว่ารถทั้งหมดเสมือนมีเจ้าของเดียวกัน และพยายามลดจำนวนเที่ยวรถเปล่าลง เพื่อให้เกิดการใช้รถขนส่งร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการด้วยกันและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าอย่างเป็นระบบ และเป็นอัตโนมัติ ปัจจุบันยังได้มีความพยายามค้นคว้าวิจัยเพื่อให้ขบวนรถขนส่งสามารถวิ่งตามกันไปโดยอัตโนมัติโดยมีผู้ขับขี่เพียงคนเดียวที่รถต้นขบวน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งลงไปอีก
7. ระบบสนับสนุนผู้ใช้ทางเท้า (Support for Pedestrians) ผู้ใช้อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับรถและถนนก็คือผู้ใช้ทางเท้า ผู้ใช้ทางเท้าในที่นี้หมายความรวมถึงผู้ใช้ทางเท้าทั่วไป คนชรา ผู้ทุพพลภาพ และผู้ใช้จักรยาน จุดประสงค์คือทำให้เกิดความสะดวกสบาย ปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมที่ดีสำหรับผู้ใช้ทางเท้า ตัวอย่างเทคโนโลยีที่สามารถช่วยเหลือผู้ใช้ทางเท้าได้ เช่น อุปกรณ์นำทางแบบพกพา เซ็นเซอร์สำหรับตรวจจับและรายงานชื่อสถานที่หรือนำทางด้วยเสียงสำหรับคนตาบอด เซ็นเซอร์ตรวจจับคนข้ามถนนเพื่อส่งข้อมูลเตือนแก่ผู้ขับขี่ให้ระมัดระวังและ/หรือควบคุมให้รถหยุดแบบอัตโนมัติ สัญญาณไฟสำหรับคนข้ามถนนที่สามารถปรับเปลี่ยน ช่วงเวลาให้เหมาะสมกับจำนวนและประเภทของคนข้ามได้
8. ระบบสนับสนุนสำหรับการทำงานของยานพาหนะในเหตุฉุกเฉิน (Support for Emergency Vehicle Operations)เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุบนท้องถนน ได้รวดเร็วทันการและเหมาะสม รถที่ประสบเหตุจะมีอุปกรณ์ติดในรถ ที่สามารถแจ้งเหตุและสื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่หน่วยงานที่รับผิดชอบในการเตรียมการ เช่น ระดับความรุนแรงของอุบัติเหตุ ลักษณะของอุบัติเหตุ จำนวนผู้โดยสารในรถ จำนวนรถที่เกิดเหตุ ตลอดจนตำแหน่งของรถที่เกิดเหตุขณะนั้น ระบบนี้อาจก้าวหน้าไปถึงขั้นให้ข้อมูลทางกายภาพของผู้โดยสารและผู้ขับขี่ด้วย เช่น เพศ/วัย ลักษณะการบาดเจ็บ บริเวณกระดูกที่หัก การเสียเลือด การหมดสติ เป็นต้น ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ผู้ให้ความช่วยเหลือสามารถวินิจฉัยได้ ล่วงหน้าหรือระหว่างเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ เพื่อลดระยะเวลาที่ต้องใช้ก่อนเข้าถึงและเริ่มดำเนินการช่วยเหลือ หลังจากนั้นข้อมูลสภาพจราจรและสภาพความเสียหายของถนน(กรณีเกิดภัยพิบัติ) ยังถูกรวบรวมและวิเคราะห์แบบตามเวลาจริงเพื่อส่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบใช้วางแผนและสามารถเดินทางเข้าสู่พื้นที่เกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว ระบบดังกล่าวยังอาจทำงานร่วมกับศูนย์บริหารจัดการจราจร เพื่อให้ช่วยจัดการสัญญาณไฟจราจรหรืออำนวยเส้นทางสำหรับรถฉุกเฉินต่างๆ ได้ด้วย
รูปแบบการนำเอา ITS มาใช้งาน ITS ประเทศไทย
การพัฒนาระบบ ITS จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันในแต่ประเทศ ขึ้นอยู่กับวิธีการพัฒนาและการจัดการขนส่งและการจราจรของแต่ละประเทศ ซึ่งทำได้ หลายแนวทาง หลายรูปแบบ และแตกต่างกันไป สำหรับประเทศไทยนั้น ได้มีแนวคิดที่จะนำ ITS เข้ามาใช้ โดยความร่วมมือจากภาครัฐและคณะกรรมการจัดการระบบ ITS ของไทย ได้กำหนดกรอบทิศทางการพัฒนาระบบ ITS เช่น การจัดทำระบบรายงานจราจรแบบตามเวลาจริง (Real-time) การติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล การจัดตั้งศูนย์ให้บริการข้อมูลจราจร รวมถึงแผนการติดตั้งระบบถ่ายภาพผู้ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงบริเวณทางแยก โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดเข้าสู่เครือข่ายต่างๆ และเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อการประสานงาน และการติดต่อด้วย ข้อมูลที่ทันสมัย ซึ่งในหลายหน่วยงานก็มีแนวทางที่จะนำ ITS มาพัฒนาให้สามารถใช้งานได้อย่างเป็นระบบ
ภายใต้โปรแกรมระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้กำหนดนโยบายในการให้ทุนสนับสนุนการวิจัย โดยเริ่มตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2547 และได้กำหนดเป็นกลยุทธ์สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ได้แก่ Smart sensing, Communications Information, Platform Safety ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมานี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาการจราจร โดยจัดตั้งกลุ่ม Thailand ITS Forum ขึ้น เพื่อเชื่อมโยงทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง( Stakeholders) ภายในประเทศ ได้แก่ ผู้เดินทาง ผู้จัดหาและควบคุมระบบ ชุมชน หรือผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้เกิดการนำข้อมูลและเทคโนโลยีที่มีอยู่ในประเทศมาใช้งานด้านการจราจรและระบบขนส่ง เช่น ระบบประมวลสภาพจราจรจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ระบบนี้จะรายงานข้อมูลสภาพการจราจร โดยนำซอฟต์แวร์และอุปกรณ์มาใช้ประมวลผลภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว เพื่อให้ได้อัตราเร็ว จำนวน และประเภทรถ พร้อมทั้งรายงานสถิติที่เกี่ยวข้องกับจราจรทั้งสภาพปัจจุบันและย้อนหลัง โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
นอกจากนี้ยังมีระบบอื่นๆ ที่จะเอื้อประโยชน์ต่อการใช้งาน ได้แก่ เครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สายสำหรับตรวจนับรถยนต์ ระบบนับสัญญาณเวลาไฟ ระบบกระจายข้อมูลสภาพการจราจรแบบ Real-time แลโปรแกรมรู้จำป้ายทะเบียนรถ ระบบต่างๆเหล่านี้ ล้วนสามารถเชื่อมโยงและพัฒนาให้สามารถทำงานได้ โดยซอฟต์แวร์ประมวลผลและรายงานผล ที่ต้องอาศัยข้อมูลจากแหล่งต่างๆ จากหลายหน่วยงานมาใช้เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบอัจฉริยะสำหรับการเดินทางที่เกิดขึ้นในอนาคต
อ้างอิง
วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเด็กและเยาวชน (วารสาร@Science)
จาก http://www.most.go.th/@science/index.php/lastest-sti-news/172-its----.html
ข้อคิดเห็น
Environmental Object คือ ระบบการขนส่งและจราจรอัจฉริยะ
Environmental Data คือ เป็นการรวมเอาเทคโนโลยีด้านข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ และ โทรคมนาคม มาผสมผสานให้เกิดการประยุกต์ใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง การควบคุม การติดตาม รวมไปถึงความปลอดภัยในการเดินทาง
Meta Data คือ ระบบนี้จะรายงานข้อมูลสภาพการจราจร โดยนำซอฟต์แวร์และอุปกรณ์มาใช้ประมวลผลภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว เพื่อให้ได้อัตราเร็ว จำนวน และประเภทรถ พร้อมทั้งรายงานสถิติที่เกี่ยวข้องกับจราจรทั้งสภาพปัจจุบันและย้อนหลัง โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
สุพรรษา ภักดีศรีสันติกุล(ออย)
วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ปี 2015 ได้ซื้อ! แว่นดำน้ำ AR บอกข้อมูลโลกใต้ทะเล
แนวคิดการพัฒนาแว่นดำน้ำเทคโนโลยี AR นี้มีชื่อว่า Smart Swimming Goggles ความสามารถของหน้าจอ Augmented Reality ที่นำมาใช้ในพื้นที่กระจกของแว่นตาจะทำให้ผู้สวมใส่สามารถบอกได้ว่าปลาหรือฉลามที่ว่ายอยู่ตรงหน้านั้นเป็นชนิดใด นอกจากนี้ หน้าจอ AR บนแว่นยังสามารถให้ข้อมูลนักดำน้ำได้ว่าได้ดำน้ำไปนานเท่าใด และเหลือเวลาอีกเท่าใด ซึ่งจะทำให้การบริหารออกซิเจนในถังสามารถทำได้ดีกว่าเดิม | |||||
คอนเซ็ปต์การพัฒนาแว่นดำน้ำนี้ถูกออกแบบโดย Yanko Design ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Samsung Design Member คอนเซ็ปต์นี้เน้นการสาธิตให้โลกเห็นการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยแว่นดำน้ำนี้จะสามารถบอกโลกได้ว่า ไม่เพียงพื้นที่บนบก แต่ชาวโลกก็สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้เมื่ออยู่ในโลกใต้น้ำ | |||||
แหล่งอ้างอิง
http://manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9560000065107 ข้อคิดเห็น Environmental Objects : แว่นตาดำน้ำ AR Environmental Data : ให้ข้อมูลนักดำน้ำเกี่ยวกับการดำน้ำ เป็นกล้อง3มิติ ระบบสื่อสารกับนักดำน้ำคนอื่นๆ Metadata : การแสดงผลออกมาของงข้อมูลต่างๆ เช่น การแสดงภาพในรูปแบบ3มิติ หรือมีการถ่ายภาพไว้ นางสาวภัทราพร แม้นจันทร์ (ฝ้าย) 5415039 |
พลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากเปลือกกุ้งและไหม
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)