ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องพบกับภัยพิบัติใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้ง นับตั้งแต่คลื่นยักษ์สึนามิ พัดถล่มชายฝั่งอันดามันเมื่อปลายปี พ.ศ.2547 ตามด้วยน้ำท่วมหนักในหลายๆ พื้นที่ จนมาถึงมหาอุทกภัยใหญ่เมื่อปี พ.ศ.2554 ที่หลายคนยังไม่ลืมความสูญเสีย ทำให้เกิดกระแสตื่นตัว ที่ประเทศไทยจะต้องมีระบบป้องกันภัยที่ทันสมัย โดยในส่วนของการเตือนแผ่นดินไหวและสึนามินั้น ทางฝั่งอันดามันนำโดยศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดังที่ได้เห็นจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2555 ที่เสี่ยงต่อสึนามิ จากการซ้อมหนีภัย ประชาชนสามารถอพยพได้ตามแผนที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม สำหรับฝั่งอ่าวไทย มักจะเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก เหตุเพราะโอกาสที่จะเกิดสึนามิฝั่งอ่าวไทยเป็นไปได้น้อยมาก แต่ในความเป็นจริง ถึงแม้อ่าวไทยจะไม่เกิดสึนามิ แต่ยังมีภัยอื่นๆ เช่น Storm Surge หรือคลื่นที่เกิดจากอิทธิพลของพายุ ภาวะน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง รวมไปถึงอุบัติเหตุอื่นๆ เช่นเรือล่ม ซึ่งหน่วยกู้ภัยต้องเข้าไปช่วยผู้ประสบเหตุอย่างเร่งด่วน ทำให้เกิดโครงการจัดหาระบบตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของน้ำทะเล
“อ่าวไทย” กับระบบเตือนภัยทางทะเล
“พื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศไทย มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ก่อสร้าง ขุดลอก เปลี่ยนแปลงด้านระบบนิเวศ ทั้งป่าชายเลน ปะการัง ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นที่ชายฝั่ง หรือปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ที่ทุกรัฐบาลให้ความสำคัญเพราะเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะการบริหารจัดการไม่เป็นไปในทางเดียวกัน แต่อีกส่วนคือเราไม่มีข้อมูลที่แท้จริง โดยเฉพาะเกี่ยวกับคลื่นและกระแสน้ำบริเวณชายฝั่ง” เป็นคำอธิบายจาก ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กระทรวงวิทยา ศาสตร์ และเทคโนโลยี (GISTDA) ถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องมีระบบเตือนภัยในพื้นที่ชายฝั่ง
โดยในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะทำอะไรในพื้นที่ชายฝั่ง การคาดการณ์ต่างๆ ทำได้เพียงวิธีใช้แบบจำลอง แล้วคำนวณออกมาว่ามันน่าจะเป็นอย่างไร หรืออย่างมาก ก็ทำได้เพียงสุ่มวัดกระแสน้ำบางจุด และเดาว่ามันสามารถใช้ได้ทุกจุดเท่านั้น ซึ่งวิธีดังกล่าวมีโอกาสคลาดเคลื่อนได้สูง และยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงสภาพชายฝั่งอย่างรวดเร็วแล้ว ยิ่งทำให้ปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้อีกหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างท่าเรือ ไปจนถึงการปลูกป่าชายเลน สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อกระแสน้ำทั้งสิ้น
“เรื่องของภัยพิบัติ เวลามีลมแรง หรือมีความกดอากาศต่ำ จะเป็นพายุ หรือหย่อมความกดอากาศต่ำธรรมดา หรือแม้แต่มวลอากาศที่มันมาปะทะกัน ทำให้เกิดคลื่นในทะเล บางส่วนก็พัดมาที่ชายฝั่ง ทำให้เกิดปัญหาคลื่นใหญ่ในทะเล ที่ผ่านมา การคาดการณ์ของคลื่น เรามีแบบจำลองการพยากรณ์ 3 วัน 5 วัน ปัญหาคือการพยากรณ์ตรงนี้ แทบจะไม่มีการตรวจสอบ ทุกวันนี้ทางกรมอุตุ ฯ มีการตรวจวัดคลื่นตามชายฝั่งด้วยสายตา ล่าสุดทางกรมอุตุฯ ได้ติดตั้งสถานีเรดาร์ชายฝั่ง แบบที่เรากำลังจะทำ เพียงแต่ของกรมอุตุฯ จะเน้นมองในภาพใหญ่ มองอ่าวไทยทั้งอ่าว เพราะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเขา ดังนั้นรายละเอียดเรื่องพื้นที่ชายฝั่งจึงยังมีไม่มาก” ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าว
ประโยชน์ในการกู้ภัย
ดร.อานนท์ เล่าต่อไปถึงประโยชน์ของระบบดังกล่าว โดยยกตัวอย่างอุบัติเหตุที่มักเกิดขึ้นบ่อยในทะเล ไม่ว่าจะเป็นเรือล่ม หรือเครื่องบินตก ซึ่งหน่วยกู้ภัยมักจะพบกับความยากลำบากในการค้นหาผู้ประสบเหตุ ทำให้หลายครั้งแทนที่จะรักษาชีวิตคนไว้ได้ ด้วยความที่ไม่สามารถคาดเดาตำแหน่งของผู้ประสบเหตุที่กำลังลอยคอรอความช่วยเหลือ ทำให้บางรายเสียชีวิตไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะไปถึง
“เรื่องของการกู้ภัยทางทะเล เราคงเคยได้ยิน เดี๋ยวเรือล่มที่นั่น เดี๋ยวเฮลิคอปเตอร์ตกที่นี่ กว่าจะไปค้นหาคนที่ลอยคออยู่ แทนที่จะใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงแต่กลับต้องเสียเวลาไปเป็นวัน หรืออย่างน้อยที่สุด หาคนไม่เจอ เจอศพก็ยังดี ที่ผ่านมาเรามีปัญหาตรงนี้มาก แต่ถ้าเรามีข้อมูลกระแสน้ำอย่างละเอียด เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าหากเวลาผ่านไปเท่านี้ คนที่ลอยคออยู่ก็น่าจะไปอยู่ตรงนั้น ก็จะทำให้การกู้ภัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือสาเหตุสำคัญว่าทำไมเราต้องมีข้อมูลคลื่นและกระแสน้ำชายฝั่ง” ดร.อานนท์ กล่าว
ทั้งนี้ ระบบดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีตที่ผ่านมา สมัยที่ GISTDA ยังไม่แยกออกมาจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้มีโครงการ “ทุ่นสมุทรศาสตร์” ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลนอร์เวย์ ทว่าหลังจากนั้นพบปัญหาหลายประการในด้านการซ่อมบำรุงที่มีราคาแพง และการที่นำทุ่นไปวางทิ้งไว้ในทะเล ทำให้ทุ่นสูญหายบ่อยครั้ง ดังนั้นพอจบโครงการ จึงไม่ได้มีการสานต่อ ขณะที่เทคโนโลยีแบบใหม่ จะใช้ระบบเรดาร์ความถี่สูง (High-Frequency Radar) ในการตรวจจับ โดยตามทฤษฎีแล้ว คลื่นทุกชนิดจะมีการสะท้อนจากตัวกลางที่เคลื่อนที่ โดยความถี่จะแตกต่างกันออกไป
“ยกตัวอย่างง่ายๆ คือคลื่นเสียง สังเกตรถไฟไหมครับ เสียงรถไฟวิ่งหาเรา กับเสียงรถไฟที่วิ่งออกไปจากเรา เสียงหวูดจะไม่เหมือนกัน วิ่งมาทางเราเสียงจะเป็นอย่างหนึ่ง วิ่งห่างออกไปเสียงก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงของเสียง ก็คือความถี่คลื่นที่เปลี่ยนไป ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ เราสามารถคำนวณได้ว่ารถไฟวิ่งด้วยความเร็วเท่าไร ซึ่งเรดาร์นี้ก็หลักการเดียวกัน แต่แทนที่เราจะใช้แหล่งกำเนิดเสียง เราใช้วิธีปล่อยคลื่นจากสถานีไปในทะเล คลื่นนี้ก็จะไปสะท้อนกับผิวหน้าน้ำทะเล ซึ่งผิวหน้าน้ำทะเลนี้มันเคลื่อนที่ไปตามคลื่น ดังนั้นความถี่ที่สะท้อนกลับมามันก็จะเปลี่ยนไปจากเดิม ทำให้เรารู้ว่ากระแสน้ำมีความเร็วเท่าไร” ดร.อานนท์ กล่าว
Storm Surge-น้ำท่วม-แผ่นดินถูกกัดเซาะ
ถึงกระนั้น ปัญหาบางประการก็ยังมีอยู่บ้าง ตรงนี้จำเป็นต้องมีสถานีตั้งแต่ 2 จุดขึ้นไป เรียกว่ายิ่งมีมาก ความแม่นยำก็ยิ่งมากขึ้นไปด้วย เพราะต้องใช้วิธีปล่อยคลื่นจากหลายๆ จุด เพื่อหาจุดตัดมาวัดความเร็วของกระแสน้ำ รวมไปถึงไม่เหมาะสำหรับการเตือนภัยสึนามิ เนื่องจากมีรัศมีทำการเพียง 100 กิโลเมตร ขณะที่สึนามิเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การจะเตือนภัยสึนามิ ระบบของกรมอุตุนิยมวิทยาจะทำได้ดีกว่าเพราะรัศมีเรดาร์ของกรมอุตุฯ นั้นไปได้ไกลกว่า แต่ระบบดังกล่าว จะเหมาะสมมาก หากใช้เตือนภัย Storm Surge เนื่องจากใช้เวลาเคลื่อนที่ช้ากว่า อาจจะ 2-3 วัน ไม่เหมือนกับสึนามิที่เกิดและซัดเข้าชายฝั่งได้เร็วกว่า
รวมไปถึงปัญหาน้ำท่วม ซึ่งที่ผ่านมาประเด็นน้ำทะเลยังไม่ค่อยถูกพูดถึงและให้ความสนใจมากนัก โดยน้ำฝน กรมอุตุฯ มีสถานีวัดปริมาณฝน น้ำท่าหรือน้ำในแหล่งน้ำ มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ดูระดับน้ำตามจุดต่างๆ หรือแม้แต่น้ำหลาก GISTDA เองได้มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมส่องดูอยู่ตลอด ขาดแต่เรื่องของระดับน้ำทะเลเท่านั้น
“พื้นที่อ่าวไทย คือรูป ก.ไก่ นี้เป็นพื้นที่ที่สำคัญมาก น้ำท่วมก็เกิดตรงนี้ล่ะ และน้ำที่มีผล คือน้ำที่อยู่ในอ่าวไทยตอนบน ตรงนี้สิ่งที่เราจะได้ ก็คือข้อมูลกระแสน้ำและคลื่นบริเวณนี้ ซึ่งอ่าวตัว ก นี้เองที่มีปัญหาด้านมลพิษ สิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากร และการกัดเซาะชายฝั่งมากที่สุด ดังนั้นเราถึงต้องให้ความสำคัญกับอ่าวตัว ก ตรงนี้มาก ซึ่งเราได้ติดตั้งสถานีไว้บริเวณนี้ถึง 8 จุด ไล่ตั้งแต่สัตหีบวนมาถึงหัวหิน โดยเฉพาะปัญหาการกัดเซาะของแผ่นดินมีหลายสาเหตุ ทั้งแผ่นดินทรุด กระแสน้ำและคลื่น ทุกคนที่ถกเถียงกัน ได้ข้อมูลมาจากแบบจำลอง ส่วนข้อมูลที่วัดจริงๆ มีน้อยมาก ซึ่งเราหวังว่า หลังจากติดตั้งระบบนี้ สัก 2-3 ปี เราก็น่าจะได้ความเข้าใจเชิงฤดูกาลที่มากขึ้น มากพอที่จะตัดสินใจได้ โดยเฉพาะเรื่องการกัดเซาะแผ่นดิน ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย อีกไม่เกิน 30 ปี จะมีปัญหาเรื่องการระบายน้ำและน้ำท่วมขังมาก และจะลุกลามเข้ามาถึง กทม. ชั้นในด้วย” ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบัน GISTDA ได้ติดตั้งสถานีนำร่องแล้ว 18 จุดในฝั่งอ่าวไทย ซึ่งนอกจากบริเวณอ่าว ก ไก่แล้ว ยังมีที่บริเวณพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.สงขลา เนื่องจากเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเทคโนโลยีดังกล่าวนั้นนิยมใช้กันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรืออีกหลายประเทศในทวีปเอเชีย รวมถึงในอนาคตข้างหน้า ยังมีเป้าหมายที่จะผลิตใช้เองโดยไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศอีกด้วย
ส่วนจะใช้ได้ผลแค่ไหน คงต้องรอดูกันต่อไป
อ้างอิงจาก
แนวหน้า.ตามดู "เรดาร์ตรวจระดับน้ำทะเล" เทคโนโลยีรับมือภัยพิบัติในอนาคต [ออนไลน์].
เข้าถึงเมื่อ 04-07-2013.เข้าถึงได้จาก http://www.naewna.com/scoop/29766
ข้อคิดเห็น
Environmental Object คือ ระบบเตือนภัยในพื้นที่ชายฝั่ง
Environmental Data คือ ข้อมูลกระแสน้ำและคลื่นอย่างละเอียด โดยใช้ระบบเรดาร์ความถี่สูง
Meta Data คือ ตำแหน่งที่ชัดเจนของการเตือนภัย
จิณก์นิภา อินทรวิรัตน์ ตูน
มีข้อจำกัดอยู่ที่ว่าอาจจะต้องการทุนสนับสนุนเพิ่มเติมในการดำเนินการให้ลุล่วง
ตอบลบ